เมื่อวานผมเขียนพรีวิวถึง Galaxy Note 3 ไปแล้ว ฉบับนี้เป็นสิ่งที่สัญญาไว้ว่าจะเขียนถึง นั่นคือ Galaxy Gear นั่นเอง
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เทรนด์ใหม่ที่กำลังจะมานี้ เป็นการก้าวล้ำทางเทคโนโลยีอีกระดับหนึ่ง จากเดิมที่เราจะพูดถึงกันแค่คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต แต่จากนี้ไป จะเป็นยุคของอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งจะว่าไปอุปกรณ์สวมใส่เริ่มก่อร่างสร้างเทรนด์มาระยะหนึ่งแล้ว ผ่านอุปกรณ์อย่าง UP ของ Jawbones, FuelBand จากไนกี้, นาฬิกาอย่าง Pebble และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ Google Glass ผลงานของกูเกิล
ทั้งหมดนี้จึงทำให้ค่ายผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหลากหลายแบรนด์ไม่อยากตกขบวนรถไฟขบวนใหม่ที่กำลังแล่นผ่านสถานีเก่าที่ชื่อสมาร์ทโฟน มายังสถานีใหม่ที่มีชื่อว่า Wearable Devices.
อย่างที่ผมเขียนไว้ในพรีวิว Galaxy Note 3 ว่า ขณะนี้ Galaxy Gear จะยังคงใช้งานร่วมได้เฉพาะกับ Galaxy Note 3 เท่านั้น และจำกัดเฉพาะว่า ต้องเป็นไฮเอนด์ของซัมซุงเท่านั้นอีกด้วย รุ่นที่จะรองรับก็จะมี Galaxy S3, Galaxy S4, Note 2 และ Galaxy Tab 10.1 เริ่มต้นการอัปเดทธันวาคม
ผมได้สัมผัส Galaxy Gear ในกรอบระยะเวลาสั้นกว่า Galaxy Note 3 เล็กน้อย เนื่องจากว่า Galaxy Gear ตัวแรกที่ผมได้จับจากซัมซุงนั้น ตัวเครื่องมีปัญหา Error (กระจุย) ซึ่งกว่าจะได้ตัวใหม่มาเปลี่ยนก็เป็นตอนหัวค่ำ แต่เคราะห์กรรมยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เมื่อ Galaxy Gear ตัวใหม่ที่ได้รับมา ดันมาพร้อมกับแบตเตอรีที่เหลืออยู่น้อยนิด
ดังนั้นแล้วการพรีวิว Galaxy Gear นี้จึงเป็นไปแบบรวดเร็วปานจรวดละกันนะครับ เกาะพนักเก้าอี้อ่านไว้ดีๆ นะครับ
Design
ว่าไปแล้ว Galaxy Gear ไม่ได้เป็น Smartwatch ตัวแรกที่ผมได้สัมผัส ก่อนหน้านี้ผมเคยมีโอกาสไปเอาข้อมือของผมไปผูกติดกับ Pebble ของเพื่อนที่สั่งจาก Kickstarter มาบ้างแล้ว ส่วนตัวผมรู้สึกว่า Galaxy Gear ดีไซน์ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ โดยเฉพาะตรงหน้าปัดที่มีสกรูอยู่ทั้ง 4 มุม
ตรงหน้าจอของ Galaxy Gear เมื่อครั้งที่ได้เห็นภาพหลุดผ่านเว็บไซต์ Venture Beat ผมเผลอหลุดอุทานออกมาว่า ใหญ่โคตรแบบนี้ใครจะไปใส่ลง ก็ต้องถอนคำพูดสักหน่อย เพราะใส่แล้วมันก็ไม่ได้ใหญ่เทอะทะมาก คล่องตัวพอสมควร แถมวัสดุที่ใช้เป็นสแตนเลสที่ดูแกร่งไม่น้อย ถ้าให้นึกถึงก็เป็นนาฬิกาแนวสปอร์ตนั่นเองครับ ความละเอียดหน้าจออยู่ที่ 320×320 พิกเซล ผมว่าพอเหมาะพอเจาะกับการแปรสภาพเป็นนาฬิกานะ
เรื่องของการดีไซน์ของ Galaxy Gear ผมชอบจุดเดียว ….จุดเดียวจริงๆ คือ สายนาฬิกา ตอนแรกที่เห็นในงาน Keynote ผมเข้าใจว่า สายรัดข้อมือนาฬิกาของ Gear จะต้องเป็นยางธรรมดาๆ แต่เอาเข้าจริงไม่ใช่ครับ มันเป็นวัสดุที่เป็นยางอย่างดี เหนียว แน่น แข็งแรงมากๆ ที่สำคัญมันดูหรูหรามากจนต้องปรบมือให้กับซัมซุง ณ จุดๆ นี้
การสวมใส่ Galaxy Gear อาจไม่เหมือนนาฬิกาทั่วๆ ไปที่เรารู้จักสักเท่าไหร่ ปกติแล้วนาฬิกาธรรมดา คือ ยัดข้อมือเข้ากับนาฬิกา ถ้าเป็นสายยางก็เสียบให้ตรงกับรูที่เหมาะกับขนาดข้อมือเรา เป็นอันจบ หรือถ้าเป็นสายเหล็กก็ติดประกบให้สนิทแค่นั้น แต่ Galaxy Gear เราจะต้องปรับขนาดข้อมือสำหรับการสวมใส่จากด้านในก่อน แล้วถึงจะสอดข้อมือเข้าใส่
ซึ่งผมเองก็มีปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อกับการใส่ Galaxy Gear (ตัวที่ 2 ที่ผมรับมาจากซัมซุง) คือ มันล็อกติดกันไม่สนิท เพียงแค่สะบัดข้อมือไม่กี่ครั้ง ตัวล็อกที่มันติดกับนาฬิกามันก็หลุดออกมา ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าบล็อกเกอร์ท่านอื่นๆ เจอปัญหาดังกล่าวนี้หรือไม่ ถ้าเจอก็แสดงว่า มันไม่ได้มีปัญหาเฉพาะเรือนของผมเท่านั้น เย้!
การใช้งาน
Galaxy Gear จะมีเซ็นเซอร์เมื่อผู้ใช้ยก Galaxy Gear ขึ้นมา มันจะแสดงหน้าจอนาฬิกาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ การที่เราจะเชื่อมต่อนั้น จะต้องทำผ่าน NFC เพียงสัมผัสกันระหว่างนาฬิกากับสมาร์ทโฟน
การใช้งานทั้งหมดจะเป็นแบบทัชสกรีน มีทั้งปาดขึ้นสำหรับ ปาดลง ปาดซ้ายและขวา สำหรับเข้าใช้งานแอปพลิเคชันที่ฝังติดมาให้ ประกอบด้วยพยากรณ์อากาศ, บันทึกนับก้าวสำหรับออกกำลังกาย, Media Controller, คลังภาพ, บันทึกเสียง ทั้งหมดนี้จะมาว่ากันอีกครั้งหลังจากที่ได้รีวิวแบบจริงจัง ในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้าครับ
เรื่องกล้อง ผมเองไม่คาดหวังกับเรื่องกล้องเลยครับ สาบานได้ แต่จากที่ลองใช้พบว่า เออมันก็ใช้งานง่ายดีนะ เพียงแค่ยกนาฬิกาขึ้นมาแตะหน้าจอการถ่ายภาพก็เสร็จสิ้น ซึ่งการโพรเซสของนาฬิกาทำได้ไวดี ไม่อืดอย่างที่แอบคิดไว้ การใช้งานกล้องขอให้คุณนึกถึงยอดนักสืบที่เป็นเด็กมา 20 ปี แต่มันก็ยังอยู่ป.1 อย่างโคนัน นั่นแหละครับ คือ การใช้งาน Galaxy Gear สเปกของกล้องก็ 1.9 ล้านพิกเซลครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายผ่าน Galaxy Gear เชิญทัศนาได้เลยครับ
นอกเหนือจากนี้แล้ว Galaxy Gear ยังอัดวิดีโอได้ 10 วินาที
เสียดายนิดนึงว่า มีเวลาไม่พอที่จะถ่ายเป็นวิดีโอด้วยการรับโทรศัพท์ผ่าน Galaxy Gear ซึ่งเวลาโทรก็จะใช้แขนยกขึ้นมา ถือว่าเท่ดีนะ
อุปกรณ์เสริม
จะว่าไปแล้ว Galaxy Gear ไม่ได้มาตัวเปล่า เสื่อผืน หมอนใบนะครับ แต่มาพร้อมกับ….อะไรสักอย่าง (เรียกไม่ถูก) เอาเป็นว่าเรียกกรอบไปก่อนละกัน ซึ่งตัวมันไม่ได้มีมาประกอบเท่ๆ แต่อย่างใด มันคือที่ชาร์จไฟของ Galaxy Gear นั่นเอง ด้านหลังจะมีให้ชาร์จไฟผ่าน microUSB 2.0 ถ้ามีอแดปเตอร์ก็ชาร์จเข้ากับไฟบ้านได้เลย
Galaxy Gear มี 6 สี
สำหรับ Galaxy Gear จะมีให้เลือกซื้อ 6 สี ซึ่งสีที่ผมได้พรีวิวเป็นสีดำ ส่วนสีอื่นๆ อีก 5 สี ประกอบไปด้วยสีขาว สีเหลือง สีส้ม สีเทา และสีชมพู จะเริ่มวางจำหน่ายเดือนตุลาคม แต่สีดำขายก่อนใครเพื่อน ตั้งแต่วันวางจำหน่าย Galaxy Note 3 เลย
แบตเตอรี
สารภาพตามตรงว่า พูดค่อนข้างลำบาก เพราะว่า ตอนที่ผมรับ Galaxy Gear มา เครื่องแรกก็ Error กระจุยอย่างที่บอก ส่วนเรือนที่ 2 ที่ได้รับมาก็มาพร้อมกับแบตเตอรีที่กำลังจะหมด พอมาตอนเช้าผมได้ชาร์จ Galaxy Gear จนเต็ม ซึ่งระหว่างนั้นก็ได้ลองถ่ายภาพ ใช้ฟีตเจอร์ต่างๆ ที่มีอยู่ใน Galaxy Gear แบตเตอรีก็ลดค่อนข้างเยอะเหมือนกัน โดยนัยที่ผมจะกล่าวคือ Galaxy Gear อาจจะใช้ได้ไม่เต็มวัน
วิเคราะห์
จากการทดสอบการใช้งาน Galaxy Gear แบบเร็วๆ ไม่ถึง 24 ชม. ผมว่าไลน์โพรดัคต์ Galaxy Gear จะเหมือนกับตอนครั้งที่เปิดตัว Galaxy Note รุ่นแรก คือเป็นรุ่นที่เปิดมาเพื่อทดลองตลาด ด้วยการใส่คอนเซปต์ที่น่าสนใจลงตัวเครื่อง จากนั้นก็จะเรียนรู้จากผู้ใช้ว่า ฟังก์ชันที่มีมานั้น อันไหนบ้างที่เวิร์กก็จะยังคงอยู่ต่อไป ส่วนอันไหนไม่เวิร์กก็ตัดทิ้งออกไป
ดังนั้นแล้วความน่าสนใจจริงๆ ของ Galaxy Gear จะอยู่ในรุ่นต่อไปจากนี้มากกว่า
ส่วนตัวผมยังเชื่อว่า Galaxy Gear ยอดจำหน่ายคงไม่เยอะถึงขั้นถล่มทลาย เนื่องด้วยมันยังมีข้อจำกัดตรงที่ว่า ต้องใช้งานกับสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ของซัมซุงเท่านั้น ซึ่งในระหว่างนี้จะใช้ได้เฉพาะ Galaxy Note 3 เท่านั้น กว่าไฮเอนด์รุ่นอื่นๆ อย่าง Galaxy S4, Galaxy S3, Galaxy Note 2 และ Galaxy Tab 10.1 จะใช้ได้ก็ต้องรอไปจนถึงเดือนธันวาคม และเมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ตลาด Wearable Devices หรือ Smartwatch ก็อาจมีรุ่นอื่นที่น่าสนใจกว่า Galaxy Gear แล้วก็ได้
ที่สำคัญ Galaxy Gear มีเครื่องหมายคำถามที่สำคัญอย่างใหญ่หลวงว่า การเสียเงิน 8,900 บาท กับการได้นาฬิกาที่คู่กับสมาร์ทโฟน มันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ ? เพราะเมื่อนาฬิกามันไม่ได้เป็นแต่เพียงสำหรับบอกเวลา แต่มันยังหมายถึงรสนิยมของผู้สวมใส่อีกด้วย