เมื่อพูดถึงชื่อแบรนด์ Meizu ในประเทศไทยอาจมีความคุ้นเคยกับชื่อนี้ ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนสัญชาติจีนรายอื่นๆ แต่ต้องบอกว่า Meizu ถือเป็นแบรนด์ที่มีสมาร์ทโฟนน่าสนใจเปิดตัวออกมาแล้วหลายรุ่นเช่นกัน
โดยในปีที่แล้ว Meizu มีสมาร์ทโฟนชื่อว่า Meizu M2 Note ซึ่งเมื่อพูดถึงภาพรวมของรุ่นนี้ ถือว่าทำได้ดีทีเดียว
จนกระทั่งกาลเวลาได้เดินทางครบหนึ่งปี Meizu จึงได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 3 นั่นก็คือ Meizu M3 Note
Meizu ในไทย
แม้ว่า Meizu จะมีสมาร์ทโฟนที่ตัวเครื่องมีประสิทธิภาพดี แต่การซื้อหาเป็นเจ้าของถือว่า ยากพอสมควร โดยในรุ่นล่าสุดเรียกว่า หาซื้อได้ง่ายกว่าเดิมแล้วล่ะครับ เนื่องจากว่า dtac ผู้ให้บริการด้านเครือข่าย ได้เป็นผู้นำเข้ามาวางจำหน่าย โดยใช้ชื่อว่า Meizu M3 Note dtac edition
แกะกล่อง
ภายในตัวเครื่อง Meizu M3 Note dtac edition ก็จะมีมาตั้งแต่ตัวเครื่อง สายชาร์จ อแดปเตอร์ เข็มจิ้มซิม พร้อมกันนี้ยังมีฟิล์มกันรอยให้มากับตัวเครื่อง
ถึงกระนั้นต้องบอกก่อนนะครับว่า ความแตกต่างถ้าหากซื้อผ่าน dtac กับเครื่องหิ้วจะอยู่ตรงที่ ถ้าซื้อผ่าน dtac จะมีแถมเคสตัวเครื่อง ฟิล์มกันรอย และหูฟังรุ่น EP21 มาให้ แต่ถ้าซื้อเครื่องหิ้ว พวกเคส ฟิล์ม และหูฟังจะต้องซื้อแยก หรือจำเป็นต้องสั่งออนไลน์เท่านั้นครับ
สัมผัสแรก
ในการประเดิมสัมผัสตัวเครื่อง ยอมรับว่า หน้าตาของ Meizu M3 Note dtac edition จะใกล้เคียงกับ iPhone อยู่สักหน่อย แต่ถ้าได้ลองจับ สัมผัส ลูบคลำ จะรู้สึกได้เลยครับว่า Meizu เลือกวัสดุ งานประกอบ ได้ดีเอามากๆ ตั้งแต่การขัดผิวด้านหลังของสมาร์ทโฟนจนเรียบ ทำให้การสัมผัสเป็นไปด้วยดี
ขณะเดียวกันบริเวณสี่มุมของตัวเครื่อง มีการเข้ามุม ส่วนโค้ง รับเข้ากับรูปมือ ทำให้การสัมผัสจับใช้งานตัวเครื่องเหมาะมือเอามากๆ
อีกประการหนึ่งที่ทำให้ Meizu M3 Note dtac edition ให้การสัมผัสที่ดีนั้น ก็คือ การไม่ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดที่อ้วนเกินไป จนตัวเครื่องไม่บานออกด้านข้าง พร้อมกันนี้ยังจำกัดความสูงของตัวเครื่อง ไม่ให้สูงเกินไป จนการใช้งานไม่ถนัด ซึ่งเมื่อเทียบกับ iPhone 6 Plus แล้ว ฝั่งของ Apple หนา และตัวเครื่องยาวจนเกินไปด้วยซ้ำ
สเปกเครื่อง
- Android 5.1 Lollipop + Flyme OS 5
- หน้าจอ IPS 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1080p
- CPU Mediatek MT6755M Helio P10
- GPU Mali-T860 MP2
- ROM 32GB (เหลือให้ใช้งานราว 23GB) รองรับ microSD สูงสุด 128GB
- RAM 3GB (เปิดเครื่องเหลือให้ใช้งาน 1.8GB)
- กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล, f/2.2, PDAF, LED แฟลช, บันทึกวิดีโอ Full HD
- กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล f/2.0, บันทึกวิดีโอระดับ Full HD
- แบตเตอรี่ความจุ 4100 mAH
- รองรับการใช้งาน 2 ซิม (แบบ nano SIM)
เมื่อดูถึงสเปกเครื่อง ถือว่า จัดเต็มใช้ได้ครับ สิ่งที่น่าประทับใจจากสเปกเครื่องก็คือ ในส่วน Flyme OS หรืออินเตอร์เฟสที่พัฒนาโดย Meizu ซึ่งจะเขียนสิ่งที่ชอบถึงประเด็นนี้ในช่วงถัดไปของบทความครับ
ส่วนเรื่องของหน้าจอที่ให้มา 5.5 นิ้ว ตามที่เรียนไว้ข้างต้น คือ การออกแบบของ Meizu ช่วยพรางไม่ให้เรารู้สึกว่า ขนาด 5.5 นิ้ว เป็นขนาดที่ใหญ่จนเกินเหตุ แต่สิ่งที่เหนือไปกว่านั้นคือ เรื่องความละเอียดหน้าจอ Full HD ของรุ่นนี้ ทำได้ดีมากๆ โดยเฉพาะเวลาที่เราดูคลิปวิดีโอจาก YouTube ที่ความละเอียด Full HD สีสันของหน้าจอมันดูธรรมชาติ ถือว่าสอบผ่านเลยครับ
Flyme OS
Flyme OS คือชื่อของซอฟต์แวร์ที่ Meizu เขียนขึ้นมาครอบระบบปฏิบัติการ Android อีกชั้นหนึ่ง สิ่งที่น่าชื่นชมก็คือ การทำให้อินเตอร์เฟสของตัวเครื่องน่าใช้งาน โดยการออกแบบ icon และกราฟิกต่างๆ เป็น material design ทั้งหมด ก็จะไม่มีไอคอนตัวไหนที่โดดออกมาจากคอนเซปต์ ซึ่งเรื่องไอคอนนี้ แบรนด์สมาร์ทโฟนใหญ่ๆ ยังทำจุดนี้ได้ไม่ดีนักในเรื่องของ icon เมื่อเทียบกับ Meizu
ความโดดเด่นของ Flyme OS อยู่ตรงที่ Toggle ครับ โดยการทำให้ toggle ของตัวเครื่องเป็นแบบ minimalist กล่าวคือ มีความเรียบง่ายอยู่ในตัว แต่ในขณะเดียวกันการออกแบบไอคอนก็ทำได้สวยงาม การใช้งานเข้าใจง่าย และลงตัว ถ้าสังเกตให้ดีตรง toggle จะมี SmartTouch ซึ่งอันนี้ถือเป็นอีกฟีเจอร์หนึ่ง ที่จะกล่าวข้างหน้า
อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบในการออกแบบการใช้งานของ Meizu นั่นคือ การคำนึงถึงประสบการณ์ใช้งาน (User Experience) ที่มีความเข้าใจการใช้งานของ User ตัวอย่างเช่นในภาพ บนหน้าจอเวลานี้มี notification ต่างๆ โผล่มาเพียบ ถ้าหากเป็นสมาร์ททโฟนรุ่นอื่นๆ ก็จะโผล่ขึ้นเรียงกันมาเป็นตับ แต่ของ meizu จะมีการนำเสนอฟีเจอร์ว่า Too many notifications? หรือแปลเป็นไทยว่า มี notifications เยอะเกินไปใช่ไหม ลองปรับแต่งเพื่อลดการแจ้งเตือนลงหน่อย ก็สามารถทำได้ ซึ่งตรงนี้ผมถือว่า เป็นความพยายามเข้าใจการใช้งานของ user ที่ดีเลยทีเดียว
นอกจากนี้แล้วอินเตอร์เฟส ก็จะตัด App Drawer ออกไป ตรงจุดนี้ผมเข้าใจว่า user น่าจะคุ้นชินกับสมาร์ทโฟนที่ไม่มี App Drawer แล้วนะครับ เนื่องจากว่าสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ที่มาจากจีน และแบรนด์แรกๆ ที่ทำมาตั้งแต่แรกอย่าง iPhone จึงทำให้เชื่อได้ว่า ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องการตัด App Drawer
รองรับ 2 SIM
แน่นอนว่า เมื่อเป็นสมาร์ทโฟนที่มาจากประเทศจีน จะมีสิ่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกับคนไทย นั่นคือ การใช้งาน 2 ซิม ตรงนี้ถือว่า วัฒนธรรมการใช้สมาร์ทโฟนใกล้เคียงกันครับ โดยซิมที่รองรับนั้น จะเป็น nano sim ทั้งสองซิม เพียงแต่ว่าซิมที่ 2 นั้นจะอยู่ในรูปแบบของ hybrid slot กล่าวคือ สามารถเป็นซิมก็ได้ หรือจะเป็น microSD ก็ได้ สามารถเลือกได้ตามสบายครับ
อย่างไรก็ตาม Meizu M3 Note dtac edition มิได้รองรับกับเทคโนโลยี Full Netcom 3.0 ทำให้การเชื่อมต่อของซิมที่ 1 ถ้าหากเป็น 4G ซิมที่สองจะถอยลงไปเป็น 2G
ลูกเล่นครบครัน
จุดเด่นเมื่อพูดถึงแบรนด์ Meizu ที่หลายคนอาจไม่ทราบนะครับ นั่นคือ เรื่องของปุ่ม Home ต้องบอกแบบนี้ครับว่า ปุ่ม Home ของ Meizu เป็นปุ่ม Home ที่มีประสิทธิภาพหลากหลาย เพราะนอกจากจะทำหน้าที่ในการเป็นปุ่ม Home อย่างแข็งขันแล้ว ยังสามารถเป็นปุ่ม Back ได้ในเวลาเดียวกัน หรือถ้าหากต้องการเพิ่มความปลอดภัยแก่ตัวเครื่อง ก็ยังเป็นที่สแกนลายนิ้วมือได้อีกด้วย
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ตามปกติแล้ว สมาร์ทโฟน Android จะต้องมีปุ่ม Back ปุ่ม Home แล้วปุ่ม recent หายไปไหน?
คำตอบก็คือ ใช้วิธีการไถจากล่างขึ้นบนครับ เจ๋ง!
ข้อดีอีกประการหนึ่งที่เอาปุ่มทุกอย่างไปไว้ที่ Home หรือเป็น gesture ในการเรียกใช้ recent app ผมมองว่า เป็นการตัดความไม่สวยงามของปุ่ม capacitive บนตัวเครื่องออกไป อีกทั้งยังตัดปัญหาที่มือเผลอไปโดนปุ่มโดยไม่ตั้งใจ ถือว่าเป็นลูกเล่นเล็กๆ ที่ว้าว ใช่เล่น
ต่อมาก็คือ SmartTouch ที่ผมพูดค้างเอาไว้ หลักการของ SmartTouch ก็คือ เมื่อเราเปิดการใช้งาน จะมีปุ่มเล็กๆ พิเศษ ปรากฎขึ้นบนหน้าจอ ซึ่งปุ่มเล็กๆ อันนี้จะรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตามแต่การตั้งค่าของเรา เช่น ถ้าเราตั้งค่าเอาไว้ว่า ถ้าแตะ SmartTouch 1 ครั้งจะเป็นปุ่ม Back ถ้ากด 2 ครั้งจะเป็น Lock Screen ซึ่งอันนี้แล้วแต่ว่าเราจะตั้งค่าเอาไว้อย่างไร
พร้อมกันนี้ยังมีลูกเล่นที่เรียกว่า gesture wakeup เช่น การเคาะหน้าจอสองครั้งเพื่อปลุกสมาร์ทโฟน หรือการวาด gesture เป็นตัวอักษรต่างๆ เพื่อเรียกการใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งที่แตกต่างจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ คือ ส่วนใหญ่การวาดนิ้ว (Gesture) จะรองรับแค่ไม่กี่ตัว เช่น ตัว O ตัว C แต่ว่าใน Meizu M3 Note dtac edition จะมีเพียบ เช่น วาดเป็นรูปตัว M ตัว S ตัว V ตัว W ตัว Z
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ เราปรับแต่งได้เองครับ
นอกจากนี้ก็ยังมีลูกเล่นที่ถือว่า ไม่ได้ใหม่ แต่ก็น่าสนใจเช่น Theme ที่มีให้เลือกสวยๆ ค่อนข้างเยอะครับ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะอยู่ภายใต้ปรัชญา Material Design นั่นแหละครับ แล้วก็ยังมีฟีเจอร์ Guest Mode เผื่อในกรณีที่จะให้ผู้ใช้งานคนอื่นมาใช้งานตัวเครื่อง เราก็ตั้ง Guest Mode เอาไว้ครับ รวมถึง DND Mode ซึ่งเป็นโหมดกลางคืน ที่เราจะปิดการใช้งานต่างๆ เพื่อการพักผ่อนที่ดีในแต่ละคืนครับ
ประสิทธิภาพในการถ่ายภาพ
ตามที่ได้เรียนไว้ในส่วนสเปกเครื่องของ Meizu M3 Note dtac edition จะมีกล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล มี F2.2 และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล F2.0 ที่เป็นทีเด็ดของกล้องก็คงเป็นความสามารถ Light Field ที่เราจะเลือกจุดโฟกัสได้ทีหลัง แล้วก็ที่ชอบอีกฟีเจอร์หนึ่งก็คือการถ่ายภาพ Gif คือผมค่อนข้างชอบภาพ Gif เพราะว่ามันเป็นภาพที่สื่ออารมณ์ได้ดี อีกทั้งยังเป็นภาพเคลื่อนไหวด้วย เวลาที่ดูภาพ Gif หลายๆ ภาพมันก็มาพร้อมกับความตลก ซึ่งถือว่าดีครับที่มีฟีเจอร์นี้
แต่ปัญหาการถ่ายภาพก็มีครับ เรื่องของการถ่ายสภาวะแสงน้อย เลยมีปัญหาการถ่าย การเลือกจุดโฟกัสอยู่บ้าง
ส่วนภาพที่ถ่ายจาก Meizu M3 Note dtac edition ก็ตามด้านล่างนี้เลยครับ
ความอึดของแบตเตอรี
จากที่ได้ลองใช้งานมาตลอด 1 สัปดาห์เต็มๆ บนพื้นฐานความจุแบตเตอรี 4,100 mAh ผมคิดว่า การใช้งานในหนึ่งวัน สามารถใช้งานได้เต็มๆ ครับ เท่าที่ใช้งานมา ยังไม่เจอแบตเตอรีหมดระหว่างวัน ส่วนเรื่องการชาร์จแบตเตอรีจากที่ลองนับคร่าวๆ ก็นานพอสมควร 3 ชั่วโมงกว่าครับ เนื่องจากแบตเตอรีก้อนใหญ่ และไม่มีระบบชาร์จเร็ว
ทดสอบกับ benchmark
เป็นเจ้าของ Meizue M3 Note dtac edition ได้อย่างไร?
หลังจากที่ใช้งานมาหนึ่งสัปดาห์ ยอมรับว่า Meizu M3 Note dtac edition เป็นสมาร์ทโฟนที่ดีเกินกว่าที่คิดเป็นอย่างมาก การใช้งานต่างๆ ลื่นไหล ประสิทธิภาพการใช้งานดี สเถียร อีกทั้งยังมีลูกเล่นที่ต้องปรบมือ ในขณะเดียวกันการออกแบบด้านอินเตอร์เฟส และประสบการณ์ใช้งานทำได้ดี
แต่เมื่อเหลียวมองมาที่ราคาถือว่าน่าประหลาดใจครับ เพราะรุ่นนี้ดีแทควางจำหน่ายในราคา 5,490 บาท จากราคาปกติ 7,490 บาท โดยมีเงื่อนไขก็คือ
- จะต้องมีแพ็กเกจ หรือสมัครแพ็กเกจของ dtac รายเดือนขั้นต่ำ 599 บาทขึ้นไป
- ติดสัญญาโดยใช้โปรนี้เป็นเวลา 6 เดือน
- ลูกค้าใหม่ – ลูกค้าเก่า – ย้ายค่าย – เปลี่ยนจากเติมเงินเป็นรายเดือน ก็สามารถใช้สิทธิ์ซื้อ Meizu M3 Note dtac edition ได้ (ลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิมได้ลดค่าเครื่องเพิ่มอีกถึง 1,500 บาท)
- ข้อสุดท้าย ไม่ใช่เงื่อนไข แต่เน้นย้ำไว้ว่า ไม่มีค่าบริการล่วงหน้าครับผม
นอกจากนี้แล้ว ยังมีสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ถ้าหากสนใจเพิ่มเติมเชิญแวะไปได้ที่ http://www.dtac.co.th/camp/device/mega-sale.html ครับผม