Lazada

OPPO Find Gemini

มีใครกำลังมองหา Smartphone 2 Sim อยู่บ้างมั้ยครับ? ใครที่กำลังดูๆ อยู่ ตอนนี้ผมก็มี Smartphone 2 Sim ดีๆ มาแนะนำให้เพื่อนรู้จักกันอีกตัวหนึ่ง มันก็คือ Oppo Find Gemini Smartphone ตัวนี้ก็เป็นสินค้าจาก Oppo อีกตัวหนึ่งที่ดูแล้วน่าจับตามองอยู่เหมือนกัน เรามาลองสำรวจเครื่องดูกันรอบๆ ดีกว่าว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ที่จริงก่อนหน้านี้ Oppo ก็ได้ทำ Smartphone Android 2 Sim ออกมาขายไปแล้วตัวหนึ่ง ซึ่งก็คือ Oppo Find My Guitar นั่นเอง ซึ่งสเปคโดยรวมของเครื่องทั้งสองนี้ แทบจะพูดได้ว่าเกือบจะเหมือนกันหมดเลยล่ะ แต่ที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็น่าจะเป็นตัวจอที่ Oppo Find Gemini ให้มา 4 นิ้ว ดูแล้วน่าจะเหมาะกว่าคนที่ต้องการ Smartphone จอใหญ่ๆ มากกว่าเยอะ ลองหันกลับไปดู Smartphone ตัวอื่นๆ ในตลาดกลับบ้าง ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า Android 2 Sim ที่ออกมาวางขายส่วนใหญ่นั้น แทบไม่มีใครทำออกมาให้มีจอใหญ่แบบนี้เลย

สเปค OPPO Find Gemini

สำรวจ Oppo Find Gemini

ก่อนจะลองใช้งานจริงๆ ก่อนอื่นขอสำรวจดูรอบๆ เครื่องก่อนก็แล้วกัน ด้านหน้าของเครื่อง Oppo Find Gemini จะมีกล้องความละเอียด 2 MPixel กับลำโพงสนทนา ส่วนที่อยู่ระหว่างอุปกรณ์ทั้ง 2 ชิ้นนั้นก็คือ Proximity Sensor เอาไว้ตรวจจับว่ามีการเอาหูไปแนบเครื่องอยู่หรือไม่ หากว่าเรากำลังทำการรับโทรศัพท์ เครื่องก็สามารถที่จะล็อคเครื่องอัตโนมัติได้ทันที เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ใบหน้าของเรากดไปโดนปุ่มอะไร

ส่วนปุ่มบนเครื่องก็มีปุ่ม Menu, Home และ Back เรียงกันไว้อยู่ โดยตัวปุ่มจะสามารถเรืองแสงในที่มืดได้ด้วย

กล้องด้านหลังมีความละเอียด 4 MPixel และแน่นอนว่ามี LED Flash ส่วนลำโพงอีกตัวที่เอาไว้สำหรับเปิดฟังเพลงนั้นจะอยู่บริเวณด้านล่างของเครื่อง

ลองส่องๆ ดูลวดลายลำโพงแล้ว ดูสวยดีเหมือนกัน

ปุ่มเปิดเครื่องจะอยู่ทางด้านซ้ายของเครื่อง รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน ทุกครั้งที่ผมเล่น Android ตัวอื่น ปกติปุ่มจะอยู่ไม่ด้านบนก็ด้านขวา แต่คราวนี้มาอยู่ด้านซ้ายเลย ยังดีครับที่การ Screencapture บนเครื่องรุ่นนี้ไม่ได้ใช้ปุ่มนี้ จึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไร

ในทางตรงกันข้าม ปุ่มปรับระดับเสียงก็ไปอยู่ทางด้านขวาแทนนั่นเอง

ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. อยู่บริเวณด้านบนของเครื่อง พร้อมกับช่องสำหรับแกะเปิดฝาหลัง

ช่องเสียบ Port Micro USB และช่องไมโครโฟนก็จะอยู่บรเวณด้านล่างของเครื่องแบบนี้ครับ

 

มาลองแกะเครื่องกันดูนิดนึงดีกว่า ตอนแกะก็ไม่ยากครับ แงะจากช่องด้านบนก็สามารถแกะได้แล้ว ส่วนตัวฝาก็ค่อนข้างแน่นมาก ไม่มีปัญหาเรื่องฝาหลุดระหว่างใช้งานแน่นอน ตัวฝาจะเป็นพลาสติกทั้งชิ้น

แบตเตอรี่ของ Oppo Find Gemini มีความจุ 1,710 mAh เป็นแบตเตอรี่แบบ Lithium Ion หากเอาไปใช้งานแบบเปิด 3G ทิ้งไว้ก็สามารถใช้งานได้ทั้งวันไม่มีปัญหาครับ แต่ถ้าหากใครเอาไปเล่นเกมหนักๆ จนแบตเตอรี่หมดไว ก็อีกเรื่องหนึ่งครับ

ตอนใส่ Sim ลงไปในเครื่องอาจจะต้องลำบากนิดนึง ตรงที่ต้องถอดแบตเตอรี่ออกด้วยเท่านั้นแหละ ซึ่งหมายความว่ายังไงก็ต้องปิดเครื่องเวลาที่ต้องการใส่ Sim ใหม่

ส่วนตำแหน่งของ Sim นั้น หากว่าเราตั้งเครื่องขึ้น Sim แรกจะอยู่ด้านซ้ายมือครับ ส่วน Sim ที่สองจะเป็น Sim ด้านขวามือ จุดเด่นของเครื่องรุ่นนี้ก็ตรงที่สามารถรองรับการใช้งาน 3G ได้จากทั้ง 2 Sim นี่แหละครับ นี่มันจุดขายที่ทำให้เครื่องรุ่นนี้เหนือกว่า Android รุ่นอื่นๆ ชัดๆ!! เพราะตอนนี้ส่วนใหญ่ Android 2 Sim ส่วนมากอย่างเก่งก็ใช้ 3G ได้แค่ Sim แรก Sim เดียวเท่านั้น ส่วน Sim ที่สองปกติจะใช้ได้แต่ Edge

ส่วน Micro SD Card ก็ใส่ได้ขนาดใหญ่สุด 32 GB และแน่นอนว่าตอนจะใส่ก็ต้องถอดแบตเตอรี่ออกก่อนด้วยเช่นกัน

ทดลองใช้งาน Oppo Find Gemini

หลังจากที่ได้ลองสัมผัส Oppo Find Gemini แล้ว หากลองเทียบกับตอนที่ได้จับ Oppo Find My Guitar ดูรู้สึกได้ชัดเลยครับว่าเครื่อง Find Gemini สามารถจับได้กระชับมือกว่า Find My Guitar พอควร อาจจะเพราะเครื่องนี้จงใจออกแบบมาให้ผู้ชายถือมากกว่า Find My Guitar ที่เครื่องเล็กกว่าอยู่แล้วครับ

การ Capture Screen ของเครื่อง Oppo Find Gemini เนื่องจากว่าตัวเครื่องยังเป็น Android 2.3.6 อยู่ จึงยังต้องใช้วิธีกดปุ่ม Menu ค้างไว้แทน การกดปุ่มนี้ปุ่มเดียวผมว่าเพื่อนๆ บางคนอาจจะต้องมีเผลอกดไปโดนมั่งแหละ เพราะมันกดได้ง่ายซะขนาดนี้

ความเร็วของเครื่องถือว่าปรับมาได้ดีเยี่ยมครับ ตัวเครื่องไม่ได้ลงตัว App อะไรหนักๆ ที่ส่งผลทำให้เครื่องช้าลง สมดุลเครื่องทำออกมาได้ค่อนข้างดี ใช้แล้วรู้สึกดีพอสมควรครับ

ตัว UI ของ Oppo Find Gemini จะออกแบบมาให้มีสีสันสดใส Theme โดยหลักๆ จะมีสีเหลืองและฟ้าเป็นส่วนใหญ่ แต่เรื่อง Theme นี่เราสามารถปรับเปลี่ยนกันได้เอง หรือจะเพิ่ม Widget ลงไปก็ได้ไม่มีปัญหาครับ

ในหน้า Lockscreen หากว่าเรากำลังชาร์ตแบตเตอรี่เครื่องอยู่ ตรงคำว่า “เลื่อเพื่อปลดล็อค” จะถูกแทนที่ด้วยเกจระดับของพลังงานในเครื่อง บ่งบอกว่าแบตเตอรี่ชาร์ตได้กี่เปอร์เซนต์แล้วนั่นเอง

Home Screen มีได้สูงสุด 9 หน้า และเมื่เราเปิดมาที่หน้ารวม เราจะสามารถสลับตำแหน่ง Home Screen ได้ง่ายๆ ด้วยการลากสลับที่กันได้เลย

จุดเด่นที่สุดของ Smartphone 2 Sim จากค่าย Oppo เค้าก็คือระบบการจัดการ Sim ของเค้านี่แหละ ปกติถ้าหากว่าเราใส่ 2 Sim เครื่องก็จะแสดงทั้ง 2 Sim แต่ถ้าเราใส่ Sim เดียว มันก็จะแสดงแค่ว่าเรามี Sim เดียว ไม่มีการแสดงผลว่า No Sim ไว้ในอีกช่องหนึ่งให้ดูรกตา

บนหน้าข้อมูลการโทรของ Oppo Find Gemini จะมีรายละเอียดบอกไว้ด้วย ว่าเราใช้ Sim ไหนในการโทรออก

Icon ของตัว Application ที่แถมมากับ Oppo ส่วนใหญ่ก็มีหน้าตาประมาณนี้แหละ สีสันสดใสสุดๆ เลย

ระบบ Wifi Hotspot ของ Oppo ถูกออกแบบมาให้เป็นแบบ Switch ครับ เลื่อนนิ้วสลับ On-Off ก็เปิดปิดระบบได้เลย ไม่ต้องกดปุ่มหลายๆ ปุ่ม

ระบบข้อความจะถูกจัดวางคล้ายระบบแชต คือมีฝั่งเรา และฝั่งเพื่อนที่เราโต้ตอบด้วย ข้อความจะถูกนำมาวางสลับซ้ายขวาไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ เหมือนว่าเรากำลังแชตกับเพื่อนอยู่

สุดท้ายก็มาดูที่หน้า Setting ที่ถูกแบ่งออกเป็นหมวดๆ ดูไม่คุ้นตากันนิดนึง แต่การจัดวางดูเป็นระเบียบมากครับ หากใช้ไปนานๆ รู้สึกว่าการหาเมนูต่างๆ ทำได้ง่ายมากเลยล่ะ

 

ดูหนังฟังเพลงบนเครื่อง Oppo Find Gemini

Oppo ก็เป็นอีกค่ายหนึ่งที่ทำเสียงของลำโพงออกมาได้ดีมากครับ เสียงเครื่องดนตรีในเพลงที่เปิดฟังออกมาครบแทบทุกตัว เพียงแต่รู้สึกว่าเสียงอาจจะยังไม่ดังที่สุดเท่านั้นเอง

หากเพลงไหนที่มีเนื้อเพลงอยู่ด้วย เราก็สามารถตั้งค่าให้โชว์เนื้อเพลงได้ด้วย และเราก็สามารถปรับสีพื้นหลังของตัว Music Player ได้ด้วยเช่นกัน

เมื่อย่อ App เพลงก็จะไปแสดงไว้ใน Notification ของตัวเครื่อง ว่าเรากำลังเล่นเพลงอะไรอยู่

 

ส่วนการดูหนัง ตัวเครื่อง Oppo Find Gemini สามารถดูหนัง HD 1080P ได้สบายๆ ครับ ไม่มีอาการกระตุกเลย บวกกับพลังเสียงของตัวเครื่องด้วยแล้ว ถือว่าใช้เป็นเครื่องดูหนังแบบพกพาได้สบายๆ เลยครับ

 

เพิ่มความปลดภัยให้กับข้อมูลด้วย  Safe Manager

ใน Oppo Find Gemini จะมี App ตัวหนึ่งให้มาด้วย ซึ่งชื่อว่า “Safe Manager” App ตัวนี้ประโยชน์หลักๆ ของมันเอาไว้รักษาสิทธิของเรานั่นแหละครับ ทั้งการตรวจสอบดาต้าอินเตอร์เน็ตที่ใช้ หรือว่าการปกป้องไฟล์ของเราจากการถูกผู้อื่นเปิดดู โดยที่เราสามารถใส่รหัส 6 หลัก เพื่อช่วยป้องกันได้นั่นเอง

ความสามารถแรกของ App ตัวนี้เลยก็คือการแสกนไวรัส แน่นอนว่าในระบบปฏิบัติการที่มีคนใช้เยอะ ก็ย่อมต้องมีผู้ไม่ประสงค์ดีจ้องจะโจมตีเยอะ และ App ตัวนี้ก็สามารถช่วยแสกนไวรัสเหล่านั้นแบบเบื้องต้นให้ได้

ส่วนในการใช้งานดาต้าของเครื่อง สำหรับใครที่ซื้อแพ็คเกจมาแบบจำกัด ก็ย่อมต้องอยากกำหนดให้ App ไหนออกเน็ตได้บ้าง เพื่อควบคุมดาต้าที่เสียไปให้น้อยที่สุดใช่มั้ยล่ะครับ? ยิ่ง App เดี๋ยวนี้มีหลายๆ ตัวที่แอบติดต่อออกไปผ่านทางอินเตอร์เน็ตไม่ให้เรารู้ตัวอยู่ด้วย ถ้าเราใช้ App Safe Manager เราก็สามารถเลือกบล็อคที่เราไม่ต้องการให้ออกเน็ตได้เลย

แถมเรายังสามารถกำหนดได้อีกด้วย ว่าอนุญาตให้ใน 1 เดือนใช้ดาต้าได้ไม่เกินเท่าไหร่ แบบนี้เราก็สามารถลดความเสี่ยงจากการถูกเครือข่ายปรับเพราะใช้ดาต้าเกิดกำหนดได้จนหมดไปเลยล่ะ เพราะเราจะไม่มีทางใช้ดาต้าเกินได้อีกแน่นอน ใครซื้อแพ็คเกจมาเท่าไหร่ ก็ Fix ไว้เท่านั้นครับ อย่างในรูปนี่ผม Fix ไว้ที่ 30 MB ใช้เกินเมื่อไหร่ก็จะใช้เน็ตอีกไม่ได้ ยกเว้นแต่ว่าจะต่อ Wi-FI หรือรอหมดเดือนเท่านั้นเอง

เราสามารถเลือกได้ด้วยว่าอยากบล็อคไม่ให้ใครโทร หรือส่งข้อความมาหาเรา เครื่องมือนี้ถูกใจผมมากเลยล่ะ เพราะผมสามารถใช้มันจัดการ Block พวกส่งข้อความโฆษณาต่างๆ ได้เกือบหมดเลย รู้สึกว่าโลกสงบสุขขึ้นเยอะ

ใน Safe Manager จะมีระบบที่อยู่ลึกลงไปอีก เรียกว่า “มุมส่วนตัว” ความหมายก็ตรงตัวครับ มันคือที่ที่เป็นโลกส่วนตัวของเรานั่นเอง ทุกๆ อย่างที่ถูกเก็บไว้ในนี้ ทั้งข้อความ ชื่อผู้ติดต่อ ไฟล์ต่างๆ หรือว่า App ที่ไม่อยากให้ใครเห็นว่าเราใช้ มันจะถูกเก็บไว้ในนี้หมดเลย

การเข้ามาในห้องนี้ได้เราต้องใส่รหัส 6 ตัวก่อนด้วยครับ ถึงจะเข้ามาได้ ซึ่งเราสามารถตั้งค่ามันได้ตั้งแต่การใช้งานครั้งแรกเลย

ตัวอย่างในภาพข้างล่างนี้ ผมเอา App Instagram มาซ่อนไว้ในนี้ จึงทำให้ในหน้าเมนูข้างนอกไม่มี Instagram อยู่ ใครจะแอบลง App อะไร และไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเราลง ก็เอามาแอบซ่อนไว้ในนี้ได้เลยครับ ปลอดภัยสุดๆ

หากใครมีแฟน แต่ไม่อยากให้มีหลักฐานหลุดออกไปให้พ่อแม่รู้ตอนมาเปิดดูเครื่อง หรือหนักกว่านั้นแอบมีกิ๊กแต่กลัวแฟนมาเปิดดูเครื่อง ก็แอบเอา Contact ของคนๆ นั้นมาซ่อนไว้ในนี้ได้ ทุกครั้งที่มีข้อความเข้ามา ข้อมูลก็จะถูกนำมาเก็บลงในหน้านี้หมด รวมทั้งข้อมูลการโทร เบอร์ติดต่อ ก็จะไม่มีทางหลุดออกไปข้างนอกด้วย แถมเราสามารถตั้งค่าได้อีกด้วยว่าหากคนที่มีชื่ออยู่ในหน้านี้โทรมา ให้แสดงวิธีการเรียกสายอย่างไร จะให้เงียบไว้ หรือแค่สั่นเฉยๆ แบบว่าปลอดภัยสุดๆ (แต่ผมไม่สนับสนุนให้คนมีกิ๊กนะ แค่ยกตัวอย่างเฉยๆ รักเดียวใจเดียวดีที่สุดแล้วครับ : P)

ถ่ายรูปและวีดีโอด้วยกล้องของ Oppo Find Gemini

Oppo Find Gemini เป็น Smartphone อีกตัวที่มีลูกเล่นของกล้องมาให้เยอะมากครับ อย่างกล้องระบบปกติก็มีโหมด “Beauty Plus” มาให้เราใช้ ในโหมดนี้ จะช่วยให้รูปที่เราถ่ายออกมาดูเนียนขึ้นโดยไม่ต้องแต่งรูปอะไรมาก แต่ข้อเสียคือตอนถ่ายมืออาจจะต้องนิ่งๆ นิดนึง ไม่งั้นโอกาสที่รูปจะเบลอมีสูง

เรื่องการสู้กับแสงจอมอนิเตอร์ทำได้ดีเลยล่ะครับ เพียงแต่กล้องของ Oppo Find Gemini ยังไม่ละเอียดที่สุด เพราะมีความละเอียดอยู่ที่ 5 MPixel เท่านั้นเอง แต่ภาพที่ได้ออกมาใช้ Upload ขึ้น Facebook ไปอวดใครก็ได้สบายๆ แล้วล่ะครับ

ในเครื่องจะมีกล้องอีกตัวหนึ่งชื่อว่า “Lomo” ซึ่งกล้องตัวนี้จะเน้นไปที่การถ่ายรูปพร้อมลูกเล่นต่างๆ มากกว่าครับ ลูกเล่นที่มีมาให้มีค่อนข้างเยอะมากเลยทีเดียว

ความสามารถทั้งหมดก็ตามที่เห็นในรูปข้างล่างนี้แหละ

ส่วนนี่ก็รูปที่ผมทดลองถ่ายดู อย่างที่บอกครับ กล้องตัวนี้ไม่ได้เน้นความสวยงามจากการถ่าย แต่เน้นการใส่ลูกเล่นให้รูปดูแปลกตามากขึ้นแทน

ส่วนนี่ก็อีกลูกเล่นหนึ่งเป็นการนำเอารูปที่เราถ่ายไปใส่ไว้ในฉากที่ทาง Oppo ใส่ไว้มาให้ คิดว่าในอนาคตน่าจะมีฉากใหม่ๆ มาให้เราใช้กันอีกเยอะแน่เลยครับ อัตราส่วนรูปที่อยู่ในฉากนี้เหมือนจะดูยาวกว่ารูปถ่ายปกติเล็กน้อยด้วยครับ

การถ่ายวีดีโอ Oppo Find Gemini ถ่ายวีดีโอได้ที่ความละเอียด 800×608 Pixels ตอนที่ผมลองถ่ายวีดีโอตอนฝนตก ก็เห็นหยดน้ำ และรายละเอียดอื่นๆ ชัดดีครับ

หากจะพูดถึงข้อเสียคงเป็นตอนถ่ายกลางคืน ที่การจับโฟกัสค่อนข้างช้ามาก เรียกว่าผมเอามือไปแตะจอสั่งให้มันโฟกัสเอาเองเลยดีกว่า ถ่ายกลางคืนแบบว่าไม่ไหวจริงๆ ครับ

ประสิทธิภาพของตัวเครื่อง

ตอนนี้ Oppo Find Gemini มีระบบปฏิบัติการเป็น Android 2.3.6 Rom ในเครื่องมีมาให้ 2 GB ลงเกมใหญ่ๆ ได้เกมนึง แต่ถ้าให้เล่นเกมที่กราฟฟิกที่สูงมากๆ ก็ยังอาจจะไม่ไหวครับเพราะว่า CPU ความเร็ว 1 GHz เท่านั้น

จุดเด่น

  • สามารถใช้ Sim Card ได้ 2 Sim
  • ใช้ 3G ได้จากทั้ง 2 Sim Card
  • รองรับเครือข่าย 3G ทุกความถี่ 850/900/1900/2100 MHz
  • หน้าจอเป็น IPS LCD Capacitive ขนาด 4 นิ้ว ความละเอียดระดับ WVGA 480 x 800 Pixel
  • ระบบเสียงแบบ Dirac ช่วยให้เสียงที่ได้มีคุณภาพสูงขึ้น เก็บรายละเอียดได้หมด
  • ใช้ ARM Cortex-A9 Processor ความเร็ว 1 GHz
  • กล้องด้านหลังความละเอียด 5 MPixel และด้านหน้า 2 MPixel
  • มีระบบ Beauty Plus ที่สามารถช่วยให้รูปที่ถ่ายออกมาสวยได้ทันที
  • มีระบบกล้อง Lomo แถมมาให้ในตัว

ข้อด้อย

  • ในโหมดถ่ายวีดีโอ กล้องโฟกัสช้ามากเวลาถ่ายในตอนกลางคืน
  • พื้นที่เก็บข้อมูลในเครื่องมีมาให้แค่ 2 GB (ลง App จริง ได้น้อยกว่านี้อีก)
  • เปลี่ยน Sim และ Micro SD Card ออกยาก เพราะต้องปิดเครื่องและแกะแบตเตอรี่ออกก่อนเท่านั้น