
ในเวลานี้สมาร์ทโฟนที่ถูกจับตามองมากที่สุดในตลาด คงมีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สมาร์ทโฟนลำดับล่าสุดของ Apple
ผมมีโอกาสได้ Pre-order เครื่องในวันแรกซึ่งก็คือวันที่ 9 กันยายน โดยผู้ที่ Pre-order สามารถเลือกได้ว่าจะไปรับที่ Apple store หรือว่าเลือกที่จะให้มาส่งที่บ้าน ซึ่งตัวผมอยู่ที่เมืองซิดนีย์ประเทศออสเตรเลีย เลยเลือกที่จะให้มาส่งที่บ้าน และรุ่นที่สั่งมานั้นคือ iPhone 7 Plus รุ่นขนาดความจุ 128GB สี Rose Gold
ทั้งนี้สี Jet Black ถือว่าเป็นที่ต้องการอย่างมาก ซึ่งในออสเตรเลียก็เช่นกัน
เริ่มจากกล่องที่ได้มาก็จะมีขนาดเท่ากับ iPhone 6 Plus, 6s Plus ในส่วนของด้านข้างจะไม่มีเขียนว่า iPhone 7 Plus แต่จะเขียนแค่ iPhone แต่ตัวอักษรจะเป็นไปตามสีของเครื่องที่ได้ทำการสั่งมา
แกะกล่อง
แกะกล่องออกมาก็มีจะมีคู่มือ, ตัว iPhone, Adaptor, สาย lighting usb, ตัวแปลงหูฟัง lighting และ หูฟังแบบใหม่แบบ lighting ความรู้สึกตอนแรกที่เปิดกล่องออกมาแล้วรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่เพราะหูฟัง EarPod ที่ครั้งนี้ให้มาในครั้งนี้ไม่มีกล่องใส่มาด้วย
ตัวเครื่อง
มาพูดถึงตัวเครื่อง โดยรวมแล้วทั้งขนาดและน้ำหนักก็ไม่ต่างอะไรจาก iPhone 6 Plus และ 6s Plus ที่ต่างกันก็คือ ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 mm กล้องหลังที่กลายมาเป็นกล้อง 2 ตัว (Dual-Camera) กับอีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่ามันแปลกสำหรับผมก็คือ ปุ่มโฮม (ซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติมข้างหน้า) ในส่วนของฟิล์มกันรอย ไม่สามารถใช้ร่วมกับ iPhone 6 Plus และ 6s Plus ได้ครับ เพราะในส่วนของเซนเซอร์กับส่วนของลำโพงจะอยู่คนละตำแหน่งกัน
ด้านหลังเครื่อง เสารับสัญญาณบน ตั้งแต่ iPhone 6 เป็นต้นไปจะพาดเป็นเส้นตรง แต่พอมาเป็น iPhone 7 เสาสัญญาณที่พาดเป็นเส้นตรงจะถูกตัดออกไป ทำให้ข้างหลังดูโล่งขึ้น ในส่วนของเคสก็ไม่สามารถใช้ร่วมกับ iPhone 6 และ 6 Plus ได้เช่นกันเพราะ กล้องคู่ (Dual-Camera) ที่ถูกเพิ่มเข้ามา
ในส่วนของการกันน้ำหรือทนน้ำ Apple เคลมว่าทนที่ระดับ IP67 ตามมาตรฐาน IEC 60529 ซึ่งเราจะเห็นว่า Apple มีการนำยางมาใส่ในอุปกรณ์ด้วย เช่น ถาดรองซิม แต่ประกันของ iPhone ก็ไม่ได้ครอบคลุมถึงการมีปัญหาเกี่ยวกับน้ำ
ปุ่ม Home แบบใหม่
โดยปุ่มโฮมที่ Apple เปลี่ยนใหม่จะกดลงไปไม่ได้อีกแล้ว แต่จะกลายมาเป็นปุ่มตายตัวที่เวลากดแล้วมีความรู้สึกเหมือนกด trackpad บน Macbook นั่นเอง ส่วนเวลากดแล้วจะมีเสียงกึกๆ แล้วก็สั่นๆ นิดนึง ซึ่งการสั่นตอนกดปุ่ม Home มาจากเทคโนโลยี Taptic Engine ที่ Apple ใส่เข้ามาใน iPhone รุ่นนี้ ซึ่งระดับการสั่นมี 3 ระดับ สามารถเลือกได้คือ การสั่นเบา (1) สั่นปานกลาง (2) สั่นแรง (3) ตอนแรกที่ลองกดดูก็ตกใจเหมือนกัน แต่ก็ทำให้การทำงานของ touch ID ตอบสนองได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
ลำโพงคู่ (มาสักที)
ต่อมาก็คือ ช่องเสียบหูฟัง 3.5 mm ที่กลายมาเป็นลำโพง stereo แทน ซึ่งถ้าเทียบเสียงกับ iPhone รุ่นเก่าๆ ดูแล้วเสียงที่ออกมาจะดังกว่าพอสมควร ซึ่งเวลาคุยโทรศัพท์ถ้าเปิดเสียงสุด คนข้างๆ หรือว่ารอบๆ สามารถได้ยินบทสนทนาทั้งหมด คล้ายกับการเปิด Speaker
ส่วนในเรื่องของการตัดช่องหูฟัง 3.5 mm ทำให้การที่จะฟังเพลงไปด้วย แล้วก็ชาร์จแบตเตอรี่ไปด้วยจะไม่สามารถทำได้ใน iPhone 7 และ 7 Plus
กล้องถ่ายภาพ
ถัดมาจะเป็นส่วนของกล้อง iPhone 7 Plus จะมาพร้อมกล้องคู่ (Dual-Camera) ซึ่งตัวแรกจะเป็นเลนส์แบบ Wide angle สำหรับถ่ายมุมกว้าง และ Telephoto สำหรับถ่ายระยะไกล ที่ทำให้สามารถ Zoom ได้ไกลขึ้นแล้วก็ความชัดของภาพยังคงชัดเหมือนเดิมอยู่ ซึ่งสำหรับ iPhone 7 Plus สามารถ Zoom ได้มากที่สุด 10 เท่า ส่วน iPhone 7 จะได้แค่ 5 เท่า
คราวนี้เรามาดูภาพจากกล้อง iPhone 7 Plus กันครับ
ภาพตอนกลางวัน
ภาพตอนกลางคืน
การถ่ายภาพปกติ กับภาพที่ถ่ายด้วยการซูม


ในส่วนการถ่ายภาพที่ได้ลองถ่ายเองแล้ว คิดว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก เว้นแต่เรื่องการซูมที่ทำได้ไกลมาก แล้วยังคงความชัดเหมือนเดิม ภาพถ่ายตอนกลางวันก็จะมีการเก็บแสงได้ดีขึ้น ส่วนถ้าเป็นตอนกลางคืนส่วนตัวผมแล้วกล้องของ iPhone ก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
สรุปความเห็นเกี่ยวกับ iPhone 7 Plus
โดยส่วนตัวคิดว่า iPhone 7 Plus ยังไม่มีอะไรออกมาให้ว้าวเหมือน iPhone เมื่อหลายปีก่อน เช่น iPhone 4 มีแค่การเพิ่ม ตัดออก เปลี่ยนนิดๆ หน่อยๆ เช่นการตัดเอาช่องหูฟังออกแล้วเพิ่มแบตเตอรี่ให้นานขึ้น แล้วก็แถมหัวแปลง Lighting ให้เป็นพอร์ต 3.5 mm ซึ่งผมคิดว่า iPhone 7 Plus ก็คือส่วนขยายที่เข้าเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปซีรีส์ของ iPhone 6 และ iPhone 6S เท่านั้น
อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่ชอบการถ่ายภาพ iPhone 7 และ 7 Plus คงจะเป็นตัวเลือกที่ดีอย่างนึง เพราะการถ่ายภาพทำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการซูมที่ซูมได้ไกลจริง ซึ่งตรงนี้น่าสนใจมาก แถมสีและแสงก็เก็บได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ ส่วนเสียงลำโพงที่ดังขึ้นกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะการใช้ลำโพงคู่สักที
แต่ส่วนที่ไม่ชอบเลยก็คือ การที่ Apple ตัดพอร์ทหูฟัง 3.5 mm ออก กับ ปุ่ม home แบบใหม่ที่ทำให้รู้สึกว่าระบบเซนเซอร์ของ Touch ID ตอบสนองไวไปนิดอีกทั้งยังมีระบบการสั่นที่เพิ่มเข้ามาทำให้ยังไม่คุ้นชินมากนัก