- สินค้าราคา 9 บาท บน JD Central ประจำวันนี้! คลิกเลย
- แจกคูปองส่วนลดซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ลดสูงสุด 1,000 บาท
- สมัครบัตรเครดิต KTC Mastercard รับฟรีโค้ดส่วนลด Shopee มูลค่า 250 บาท
- Welcare หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ทรง 3D รุ่น WF-99 (1 กล่อง 50 ชิ้น)
- แจกฟรี! คูปองส่งฟรี Lazada กดรับได้ที่นี้
- มือถือ แท็บเล็ต อุปกรณ์เสริม ลด 65% + คูปองลดเพิ่ม 10,000.-
หนึ่งปีหนึ่งครั้งที่เราจะได้มีโอกาสเขียนถึง iPhone รุ่นใหม่ ซึ่งปีนี้ยังเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์จากปีที่แล้ว รูปร่างหน้าตายังคงเหมือนเดิม ขนาดหน้าจอคงที่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงปุ่ม Home ที่ถูกแทรกด้วยฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Touch ID ใช่ครับ เรากำลังพูดถึง iPhone 5S
คงไม่มีใครปฏิเสธครับว่า iPhone คือ สมาร์ทโฟนที่ยังคงครอบครองอันดับ 1 อยู่อย่างเหนียวแน่น แม้จะไม่ใช่ในแง่ยอดขาย แต่ในแง่ของ value แล้ว ค่อนข้างชัดเจนว่า iPhone และ Apple ยังเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจตามธรรมเนียมปฏิบัติแอปเปิลจะเลือกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์แบบพลิกโฉมทุกๆ 2 ปี การที่เราจะเห็นรูปแบบใหม่ๆ ของ iPhone ก็คงต้องเป็นปีหน้า ที่จะใช้ชื่อ iPhone 6
ในรายละเอียด iPhone 5S ดูเผินๆ แล้ว การเปลี่ยนแปลงค่อนข้างน้อย ยกตัวอย่างอาทิเช่น ดีไซน์และวัสดุที่ใช้ยังคงเหมือนเดิม ขนาดหน้าจอ 4.0 นิ้วเท่าเดิม รูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่ต่างจากเดิม แต่ถ้าลงลึกถึงรายละเอียดจะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของ iPhone 5 มายัง iPhone 5S นี้ ค่อนข้างมีนัยสำคัญที่น่าสนใจพอสมควร
อย่างแรกที่ต้องพูดถึงคือ สีครับ…ตามปกติแล้วแอปเปิลจะมีเพียงแค่ 2 สีเท่านั้น นั่นคือ สีดำและสีขาว ซึ่งถ้าให้ตีความเป็น Key Message นั่นอาจหมายถึงว่า สตีฟ จ็อบส์ อดีตซีอีโอผู้ล่วงลับนั้น ยึดมั่นความเป็นเซนเลยเลือกที่จะใช้สีที่เรียบง่ายอย่างสีดำและสีขาว
แต่กาลเวลาที่เปลี่ยนไปแอปเปิลถึงยุคผลัดใบ มาสู่ทิม คุ๊ก ผู้นิยมสีสันที่สวยงามและดึงดูดสายตาแก่ผู้บริโภค แอปเปิลเลยค่อยๆ เพิ่มสีสันขึ้น ดังจะเห็นได้จากอุปกรณ์ฟังเพลงอย่าง iPod จนกระทั่งคืบคลานมายัง iPhone ที่มีสีใหม่ ที่คนไทยเรียกกันว่า สีทองนั่นเอง
เอาจริงๆ แล้ว ถ้ามองตามสายตาของชาวตะวันตกสีทองนี้อาจไม่ได้เป็นสีที่มีความสำคัญอะไรมากนัก แต่ถ้าเป็นชาวตะวันอออกแบบเรา จะค่อนข้างให้ความสำคัญกับสีทอง โดยเฉพาะตลาดที่แอปเปิลกำลังให้ความสนใจอย่างจีนแผ่นดินใหญ่
รูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไปประการต่อมา นั่นคือ ปุ่ม Home (Home Button) จะว่าไปแล้วสิ่งนี้เป็นข่าวลือมาเนิ่นนานตามสื่อหลายสำนักที่ฟันธงลงประเด็นอย่างไม่กลัวหน้าแหกว่า แอปเปิลจะมีการใช้ลายนิ้วมือยืนยันตัวตัว (Bionic Authentication) และเมื่อ iPhone 5S ถูกเปิดตัวต่อหน้าสาธารณชนก็มีสิ่งนี้เพิ่มขึ้นมาจริงๆ โดยใช้ชื่อฟังก์ชันนี้ว่า Touch ID
ระบบสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint) ฟีเจอร์สำหรับระบุตัวตนเพื่อเข้าใช้งานในกรณีที่ตั้งรหัสผ่าน ก่อนจะมีฟีเจอร์ Touch ID เราเคยนับกันไหมว่าในหนึ่งวัน เราต้องหยิบ iPhone ขึ้นมาใช้งานกี่ครั้ง แน่นอนว่าหลายสิบครั้ง หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ หลายคนตั้งรหัสผ่านเพื่อเข้าใช้งานเพื่อความปลอดภัย และแน่นอนว่าการใส่รหัสผ่านทุกครั้ง ย่อมทำให้เราอะไรได้ช้าลง เพราะต้องปลดล็อคทุกครั้งก่อนเข้าใช้งาน แต่นั้นก็เป็นทางเดียวที่ทำให้เราสามารถป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้าถึง iPhone ของเราได้
หลักการทำงาน Touch ID หรือจะเรียกว่าระบบสแกนลายนิ้วมือก็ได้ (Fingerprint) ใช้สำหรับระบุตัวตนสำหรับเข้าใช้งานเครื่อง โดยไม่ต้องกรอกรหัสผ่าน เพียงแค่เอานิ้ววางที่ปุ่ม Home ระบบจะสแกนลายนิ้วมื้อ ถ้าตรงกับที่เคยตั้งค่าไว้ ก็สามารถเข้าใช้งานได้ทันที ถ้าไม่ตรงก็แสดงว่าไม่ใช่เจ้าของเครื่อง หรืออาจจะเป็นสแกนผิดนิ้ว ซึ่งเจ้า Touch ID สามารถตั้งค่าให้สแกนลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 นิ้ว และจดจำลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 คน (เพื่อป้องกันกรณีที่สแกนนิ้วมือไว้ แล้วเกิดอุบัติเหตุนิ้วขาด T T)
แน่นอนว่า Touch ID ช่วยให้การระบุตัวตนเครื่องเพื่อเข้าใช้งานก็กลายเป็นเรื่องง่ายทันที ซึ่งจริงๆ แล้ว Touch ID เป็นเหมือนเซ็นเซอร์ที่ใช้สำหรับยืนยันตัวบุคคลด้วยลายนิ้วมือแบบใหม่ จากที่ลองใช้งานพบว่าทำงานเร็วมาก หลายๆท่านน่าจะเคยสแกนลายนิ้วมือก่อนเข้าห้อง หรือสำนักงานต่างๆ ที่บริษัทในไทยนิยม มักเจอปัญหาสแกนติดบ้าง ไม่ติดบ้าง แต่ปัญหานี้ไม่เจอใน iPhone 5S เลยแม้แต่น้อย ยอมรับว่าแอปเปิลทำมาดีจริงๆ สแกนเจอเร็วมาก เพียงวางนิ้วลงบนปุ่มโฮมประมาณ 1-2 วินาทีก็สามารถปลดล็อค iPhone ได้แล้ว
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ลายนิ้วมือยืนยันการซื้อใน iTunes Store, App Store หรือ iBook Store ได้อีกด้วย ที่สำคัญ Touch ID ยังสามารถอ่านลายนิ้วมือได้ถึง 360 องศา ไม่ว่าจะหมุนเครื่องในแนวตั้ง แนวนอน หรือเอียงๆ iPhone ก็ยังสามารถอ่านลายนิ้วมือของเราได้ Touch ID ยังเปิดให้ลงทะเบียนลายนิ้วมือได้มากกว่าหนึ่งคน
มากันที่สเปกเครื่องกันบ้าง ปกติแล้วแอปเปิลจัดว่าเป็นแบรนด์ที่ผลิตสมาร์ทโฟนโดยไม่คำนึงถึงสเปกเครื่องมากนัก แต่จะให้ความสำคัญด้านซอฟต์แวร์มากกว่า iPhone 5S ก็ยังเป็นเช่นนั้น ชิปประมวลผล iPhone 5S ยังเป็นแค่ดูอัลคอร์ ความเร็วสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 1GHz เท่านั้น
ในขณะเดียวกันหน่วยความจำสำรอง ถ้าเทียบกับฝั่งแอนดรอยด์เขาไปไกลถึง 2GB แล้ว คู่แข่งบางรายไปถึง 3GB แต่แอปเปิลยังคงที่ 1GB
แม้ว่าแอปเปิลและ iPhone 5S จะไม่ได้เป็นเจ้าของการอัดสเปกให้แรงสุดกู่ ถึงกระนั้น iPhone 5S ก็กลายเป็นเจ้าแรกที่เขี่ยลูกเปิดเกมในการนำชิปประมวลผลแบบ 64bit มาใช้เป็นรายแรก ซึ่งการมาของชิปประมวลผลแบบ 64bit นี้ อาจเป็นการส่งสัญญาณกลายๆ ให้กับฝั่งพัฒนาของแอปเปิลว่า ชิปแบบ 32bit มันกำลังจะหมดยุค
ข้อดีของ 64bit ในเชิงของ End User ที่เห็นได้แบบชัดเต็มตา คงเป็นเรื่องของการความบันเทิงทั้งการเล่นเกมที่จะประมวลผลได้ไวขึ้น ภาพที่แสดงออกมาสมจริงขึ้น ไปจนถึงการรองรับการเล่นวิดีโอความละเอียดสูงได้เร็วกว่าเดิม
อ่านรายละเอียดสเปกเครื่องอย่างละเอียดได้ที่นี่
การออกแบบ เราคงต้องยอมรับว่า iPhone 5S ไม่ได้มีการดีไซน์ที่ผิดแผกแปลกแยกไปจาก iPhone 4, iPhone 4S สักเท่าไหร่ อาจมีแค่ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น กับตรงด้านหลังที่ทำให้ตัดกัน และพอร์ทการเชื่อมต่อที่เรียกว่า Lightning เท่านั้น
ความเห็นส่วนตัวแล้ว การออกแบบของแอปเปิลและตระกูล iPhone ในช่วงๆ หลังไม่ค่อยดึงดูดความน่าสนใจมากสักเท่าไหร่ เนื่องด้วยการออกแบบใช้รูปแบบนี้มาเนิ่นนานแล้ว แม้ว่ามันจะยังดูคงความสวยงามอยู่ก็ตามที เพียงแต่ว่ามันขาดความว้าวอยากสัมผัสและอยากเป็นเจ้าของไปมากพอควร
ประสิทธิภาพในการใช้งาน บอกตามตรงค่อนข้างลื่นไหลตามแบบฉบับของ Apple แต่ผมรู้สึกว่า iOS 7 จะให้อารมณ์ในการใช้งานที่สมูธที่สุดก็ต่อเมื่ออยู่บน iPhone 5S
iPhone 5S มาพร้อมกับกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ด้วยพิกเซลขนาด 1.5µ รูรับแสงขนาด ƒ/2.2 ชุดเลนส์ทั้งหมด 5 ชิ้น ตัวกล้องเป็นแซฟไฟร์ช่วยป้องกันหน้าเลนส์ (Sapphire Crystal Lense) ที่สำคัญมาพร้อมกับแฟลช True Tone ฟิลเตอร์ Hybrid IR มีโหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง มีระบบออโต้โฟกัส
iPhone 5S สามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด Full HD 1080p 30 fps มีระบบ OIS ช่วยป้องกันภาพสั่นไหวเมื่อถ่ายสำหรับวิดีโอ และยังสามารถถ่ายวิดีโอแบบ สโลว์โมชั่นได้ด้วย
เรื่องความเร็วในการถ่ายภาย iPhone 5S สามารภถ่ายได้เร็วกว่า ซัตเตอร์เร็วกว่านิดหน่อย โฟกัสเร็วๆใกล้เคียงกัน แยกไม่ออกว่าตัวไหนเร็วกว่า iPhone 5S สามารถถ่ายวิดีโอแบบสโลว์โมชั่น ที่ 120fps แต่ iPhone 5C จะไม่มีฟีเจอร์นี้
ก่อนเข้าสู่โค้งสุดท้ายสำหรับการรีวิว iPhone 5S นั่นคือ เรื่องของแบตเตอรีจากการได้ลองใช้ระยะเวลาหนึ่ง แบตเตอรีจะคงทน ทนไม้ทนมือผมได้ประมาณ 8 ชม. เศษ แต่ถ้ามีการใช้งานเรื่องของกล้องแบบหนักๆ เล่น Social Network แบบแทบไม่วางมือ ไปจนถึงสารพัดเกมที่อยู่ในเครื่อง แบตเตอรีจะอยู่ไม่ถึง 8 ชม.ที่ว่าเลย เต็มที่ผมก็ให้ 5 ชม. เท่านั้น
ถึงกระนั้นผมเชื่อครับว่า ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนทุกคนถ้าไม่พกสายชาร์จไว้ชาร์จที่ทำงาน ก็คงมี Power Bank ติดตัวคนละก้อนสองก้อน
สำหรับ iPhone 5S มีความหนาอยู่ที่ 7.6 มม. หนักแค่ 122 กรัม ส่วน iPhone 5C หนา 9 มม. หนัก 132 กรัม จากการสิ่งที่ทำให้ iPhone 5S น่าใช้กว่า iPhone 5C หรือเรื่องวัสดุที่ดูพรีเมี่ยม ให้ความรู้สึกหรูเวลาสัมผัส ตัวเครื่องที่บางกว่า และน้ำหนักที่เบากว่าจนรู้สึกได้
จากสัมผัสแรกที่รู้สึกชอบ iPhone 5S มากกว่า 5C พอสมควร ไม่ใช่เพราะ 5C เป็นพลาสติก แต่เพราะความบางและน้ำหนักที่เบากว่าของ 5S เลยทำให้ผมรู้สึกชอบ5S มากกว่านั่นเอง
บทสรุป
ในฐานะที่ช่วงหลังใช้งานแอนดรอยด์เป็นส่วนใหญ่ และได้ใช้งาน iPhone เป็นครั้งคราว โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่า iPhone 5S ยังไม่เป็นที่โดนใจจนถึงขั้นต้องจรลีซื้อหาเป็นเจ้าของมากมายสักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่า ถ้า iPhone 6 รุ่นหน้ามีการปรับปรุงด้านการออกแบบที่หลุดความจำเจไปจากนี้ก็อาจดึงดูดเงินในกระเป๋าได้อยู่
แต่ถ้าคุณกำลังถือ iPhone อยู่ในมือไม่ว่าจะเป็น iPhone 4 หรือ iPhone 4S ผมแนะนำว่า iPhone 5S คือ ตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดครับ (ในกรณีที่ไม่อยากใช้แอนดรอยด์) เนื่องด้วยความเร็วของเครื่องที่เร็วขึ้นสามารถเล่นเกมได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ การได้มีโอกาสใช้งานฟีเจอร์ใหม่ๆ ของรุ่น รวมถึงความสมูธของตัวเครื่องที่มีต่อระบบปฏิบัติการ iOS 7
และที่แน่นอนที่ขาดไปไม่ได้ Touch ID ระบุตัวตนเครื่องเพื่อเข้าใช้งานที่ผมว่ามันเจ๋งที่สุดในเวลานี้ สามารถอ่านลายนิ้วมือได้ถึง 360 องศา ไม่ว่าจะหมุนเครื่องในแนวตั้ง แนวนอน หรือเอียงๆ iPhone 5S ก็ยังสามารถอ่านลายนิ้วมือของเราได้ Touch ID ยังเปิดให้ลงทะเบียนลายนิ้วมือได้มากกว่าหนึ่งคน
ถึงกระนั้นการเปลี่ยนมาใช้ iPhone 5S ด้วยเหตุผลที่ตัวเครื่องรันด้วยชิปประมวลผล 64bit นั้นอาจต้องใช้เวลาในการรอคอยสักนิด เนื่องจากว่า แอปพลิเคชันที่ทำงานภายใต้ชิป 64bit ยังมีอยู่อย่างจำกัด
แต่ถ้าในเวลานี้ iPhone 5 อยู่ในมือ ผมแนะนำวา เก็บ iPhone 5 ไว้กับตัว แล้วค่อยเปลี่ยนรุ่นใหม่ปีหน้าจะดีกว่า เพราะความแตกต่างของ iPhone 5S และ iPhone 5 มันไม่ได้มากมายก่ายกองขนาดนั้น
ประทับใจ
- กล้อง
- ความไหลลื่นของตัวเครื่อง
- น้ำหนักเบามาก
ไม่ประทับใจ
- ขนาดหน้าจอแบบ iPhone เล็กเกินไปเสียแล้ว
- การดีไซน์ที่ยังจำเจเหมือนเดิม มาหลายปี
- แบตเตอรี แม้ว่าจะอึดกว่า iPhone 5 แต่ถ้าเป็นไปได้อยากให้อึดมากกว่านี้
ตัวอย่างภาพถ่าย
ตัวอย่างวีดีโอ
กด Like เพจเพื่อติดตามข่าวสาร