มาแว้วๆ สำหรับใครที่รอการรีวิวของเจ้า LG Optimus G รุ่นเรือธงของค่าย LG มือถือสายพันธุ์เกาหลีของเรานั่นเอง หลายคนอ่านจั่วหัวเรื่องมาแล้วไม่ต้องตกใจ ว่าทำไมผมถึงบอกว่า Optimus G นั้นเป็นมือถือที่ “สวยนอก หล่อใน” เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ก่อนหน้านี้ทาง LG ได้ออกรุ่นพี่อย่าง Nexus 4 ออกมา ซึ่งก็ได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อย มาถึงรุ่นนี้ต้องบอกว่าความหวือหวา วูบวาบอาจจะน้อยกว่าเล็กน้อย แต่ด้วยดีไซน์ที่คล้ายคลึงกันนั้น ทำให้ยังคงความรู้สึกประทับใจเมื่อได้สัมผัสครั้งแรกอยู่ (ถึงแม้จะไม่เหมือนรักแรกพบนักก็ตาม) เอาเป็นว่ายังคงรู้สึกได้ถึงความหรูหราจากหน้าจอกระจก และฝาหลังที่มีเกร็ดระยิบระยับนั้นอยู่ก็แล้วกัน
เดี๋ยวเรามาไล่ดูรายละเอียดตัวเครื่องของเจ้า LG Optimus G กันดีกว่าว่า สวยนอก หล่อในมันมีอะไรบ้าง ผมจะพูดยาวไปเลยนะครับแล้วผมจะสรุปสเปคให้ดูอีกทีตอนท้าย พร้อมแล้วก็แกะกล่องกันเลย
ตัวเครื่องบรรจุมาในกล่องสีขาว พร้อมกับพิมพ์ชื่อรุ่น G ไว้ด้านหน้า ให้ความพรีเมียมพอสมควร เมื่อเปิดกล่องออกมา ก็จะพบกับร่างของเจ้า Optimus G นอนแน่นิ่งอยู่
อุปกรณ์ที่ให้มานอกจากตัวเครื่องนั้นประกอบด้วย หัวชาร์จ สาย USB หูฟัง เข็มสำหรับจิ้มถาดซิม ซึ่งรวมอยู่ในซองกับคู่มือนั่นเอง
กลับมาดูที่ตัวเครื่องกันอีกครั้ง เจ้า LG Optimus G นี้มีขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว ความละเอียดหน้าจอ HD 768 x 1280 pixels (318 ppi) และเทคโนโลยีของหน้าจอเป็น True HD-IPS + LCD ซึ่งก็ถือว่าเป็นหน้าจอที่ให้แสงและสีสมจริงได้ดีทีเดียว และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมให้ฉายามันว่า สวยนอก ด้วยหน้าจอที่สวยสดใส การออกแบบดีไซต์โทนสีดำ ตัดกับหน้าจอกระจก (Gorlilla Glass 2)และถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่ามีวัสดุที่เป็นโครเมียมที่ขอบนอกของตัวเครื่องด้วย
ด้านหน้าของเครื่องประกอบด้วย ลำโพงสำหรับสนทนา ที่อยู่ติดกับขอบบนสุดของเครื่องเลย ในการใช้งานจริงแล้วอาจจะต้องมีการปรับเล็กน้อยถึงจะให้พอดีกับหู เวลาสนทนา ถัดลงมาก็จะเป็นโลโก้ของทาง LG นั่นเอง ถัดไปทางด้านขวาเล็กน้อยจะพบกับไฟแจ้งเตือนสถานะของเครื่อง และขวาสุดก็จะเป็นกล้องหน้า ที่มีความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซล ซึ่งสามารถบันทึกวีดีโอ HD 720P ได้ด้วยครับ ย้ายมาด้านล่างของตัวเครื่องกันบ้าง ก็จะเป็น 3 ปุ่ม ตามสไตล์สมาร์ทโฟนแอนดรอยร์ ก็คือ ปุ่ม Back ปุ่ม Home และก็ Menu ที่ใช้ไฟส่องสว่างสีขาว เข้ามาช่วยให้มองเห็นกันได้ง่ายๆ ยิ่งตัดกับสีของตัวเครื่องยิ่งทำให้มองชัดเจนได้ยิ่งขึ้น จากนั้นเรามาดูด้านซ้ายของตัวเครื่องกันบ้าง ประกอบด้วยปุ่มเพิ่ม ลด เสียง และก็ช่องใส่ซิมการ์ด นั่นเอง
ด้านขาวจะมีเพียงปุ่มเดียว นั่นก็คือ ปุ่ม Power/Lock Screen
ตัวเครื่องด้านบนมีช่องเสียบหูฟัง ซึ่งก็เป็นขนาดมาตรฐานคือ 3.5 mm และมีรูเล็กๆ เยื้องๆไปทางขวา ซึ่งมันก็คือไมโครโฟน สำหรับตัดเสียงรบกวนเวลาสนทนานั่นเองครับ
ด้านล่างตัวเครื่องมีน็อตยึดไว้ทั้งซ้ายและขวา ตรงกลางเป็นช่องเสียงสายชาร์จหรือสายเชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นๆ ถัดมาก็เป็นไมโครโฟนสำหรับสนทนาครับ
คราวนี้พลิกตัวเครื่องมาดูด้านหลังกันบ้าง แว๊บแรกที่พลิกมาเจอกับฝาหลังที่สวยสดงดงามก่อนเลย ฮ่าๆ เข้าเรื่องๆ บนสุดก็จะเป็นกล้องที่มีความละเอียด 13 ล้านพิกเซล จะเยอะไปไหน พร้อม LED Flash สำหรับช่วยถ่ายภาพในที่แสงน้อยนั่นเอง บันทึกวีดีโอ Full HD 1080P ได้ด้วย ตัวกล้องจะมีลักษณะนูนขึ้นมาจากตัวเครื่องพอสมควร ทำให้เวลาวางตัวเรื่องราบกับพื้น อาจจะไม่ราบไปกับพื้นไปซะทีเดียว เพราะติดเจ้ากล้องนี่แหละ เยื้องลงมาก็จะเจอโลโก้ LG อีก และล่างสุดเลยก็จะพบกับลำโพงที่เป็นร่องบากลึงลงไปในตัวครื่อง พร้อมกับรายละเอียดรุ่น เครื่องหมายต่างๆ นอกจากนั้นก็ยังมีคำว่า Made in Korea อยู่ด้วย ประกาศให้รู้กันชัดๆ ว่าฉันเป็นมือถือสายพันธุ์เกาหลีนะจ๊ะ (ลองนึกภาพท่าเต้นกังนัมสไตล์ไปด้วยก็ได้นะ)
แบตเตอรี่ความจุ 2100 mAh และไม่สามารถถอดฝาหลังออกมาเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ หรือว่าใส่ เมมเมอรี่เพิ่มได้นะ เพราะตัวเครื่องเค้าให้มาสูงถึง 32 GB ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำได้
ทีนี้เรามาพูดถึงหูฟังของ LG Optimus G กันสักหน่อย เพราะทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ทั้งในเรื่องของดีไซน์ และก็เสียงที่ให้ เดี๋ยวจะพูดถึงดีไซต์ก่อนก็แล้วกัน โทนสีทำออกมาเป็น แดงดำ ใช้สายแบนสีดำ ป้องกันสายพันกัน ตัวหูฟังใช้สีแดงตัดกับสีขาวของโลหะ ด้านหลังมีโลโก้ชัดเจน พร้อมกับไมค์ และตัวควบคุมการเล่นเพลงในตัวด้วย ส่วนเสียงที่ได้เป็นเสียงกลาง เบสก็ใช้ได้ ไม่ถึงกับแน่นมาก แต่ก็กระชับเป็นลูก ฟังแล้วไม่ปวดหู เสียงกลางแหลมซะส่วนใหญ่ เสียงร้องที่ได้ก็ชัดเจนในระดับพอใช้ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบฟังแนว Acoustic เสียงเครื่องดนตรีชัดๆ กีตาร์ เปียโนมาดีทีเดียว แต่ให้เทียบกับหูฟังระดับสูง ก็ต้องต้องบอกว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น แต่โดยรวมแล้วทำออกมาได้ดีสำหรับรุ่นนี้
LG Optimus G มาพร้อมด้วย Android 4.1.2 Jelly Bean โดยแสดงผลภายใต้การทำงานของ Optimus UI 3.0 และนี่ละครับ คือเรื่องที่ผมจะบอกต่อไปว่ามันจะ “หล่อใน” ยังไง เชิญรับชมได้ ณ โอกาสนี้ เชิญครับ แหม่ พูดเป็นหมอลำกำลังจะแสดงกันเลยทีเดียว ฮ่าๆ
Notifications มีทั้งหมด 3 แถว แถวบนสุดจะเป็นการควบคุมการทำงานของตัวเครื่อง ส่วนแถวที่สองจะเป็น QSlide apps ที่จะทำให้สามารถใช้งานแอพฯ นั้นในหน้าจอที่เล็กลง และทำงานอยู่บนแอพฯ อื่นๆ ตลอดเวลา จนกว่าเราจะปิดมันออกไป ปรับให้โปร่งแสงมองทะลุเห็นแอพฯอื่นๆ ได้
Optimus UI 3.0 มีธีมมาให้ใช้อยู่ 4 แบบ Optimus, Biz, Cozywall, Marsmallow รวมไปถึงการตั้งค่าหน้า Lock Screen ยังมีให้เลือกใช้งานตั้ง 5 แบบ และ Screen Effect ก็มีให้ใช้งานถึง 4 แบบ นอกจากนั้นทาง LG ยังได้จับความสามารถที่เรียกว่า Icon Customers Plus ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถขยาย หรือลดขนาดของ Icon ได้ตามต้องการ เรียกได้ว่าเอาใจทุกวัย หมดปัญหามองไม่ชัดกันไป วิธีใช้งานก็แค่แตะที่ Icon ค้างเอาไว้ หลังจากนั้นก็ปรับขนาดได้โดยการลากที่มุมใดมุมหนึ่งเพื่อขยายขนาดนั่นเอง เท่านั้นยังไม่พอเรายังสามารถเลือกปรับขนาด Thumbnail ใน Gallery, รายชื่อผู้ติดต่อ เพียงแค่ทำนิ้วลักษณะซูมเข้าเพื่อขยาย และก็จีบนิ้วเข้าเพื่อปรับให้กลับมาเป็นขนาดปกติได้อีกด้วย
มาถึงอีกฟังก์ชั่นหนึ่งของ LG ที่ผมติดใจตั้งแต่รุ่นก่อนหน้านี้แล้ว นั่นก็คือ QuickMemo โดยประโยชน์ของเจ้าตัวนี้ก็คือ ใช้สำหรับจดโน๊ต บันทึกหน้าจอพร้อมกับเขียนคอมเมนท์ได้ทันที สะดวกเอามากๆ การเรียกใช้งานเจ้าโปรแกรมนี้ก็ง่ายๆเลย ดึง Notifications ลงมาก็จะเจอเจ้าโปรแกรมนี้อยู่ที่บนสุด ซ้ายสุดของหน้าจอ
หน้าตาก็จะเหมือน Photo Editor ทั่วไป คือสามารถเลือกหัวแปรง (brush) ให้ใช้งาน เลือกสี จะเลือกพื้นหลังเป็นแบบกระดาษเปล่าๆ หรือจากหน้าจอล่าสุดที่เรียกใช้งานก็ได้ และที่สำคัญเมื่อบันทึกเสร็จสามารถแชร์ผ่านช่องทางอื่นๆ ได้ทันที สะดวกเวอร์ๆๆ
อีกหนึ่งจุดเด่นที่จะพูดถึงไม่ได้เลยก็คือ LG Keyboard การพิมพ์ไทย – อังกฤษ มันเป็นเรื่องที่ปกติ เห็นกันได้ทั่วไปอยู่แล้ว แต่นี่เป็นการเขียนเป็นประโยคยาวๆ ทั้ง ไทย – อังกฤษ เพื่อแปลงออกมาเป็นตัวอักษร ซึ่งสามารถทำออกมาได้ค่อนข้างดี ตอบสนองรวดเร็ว และแม่นยำ โดยเฉพาะภาษาไทย และลายมืออันชวนปวดหัวของผม มันยังสามารถอ่านออก แปลออกมารู้เรื่อง อยู่ที่ลายมือที่เราเขียนลงไปด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งผมมองว่าบางทีสะดวกกว่าการพิมพ์เยอะเลย
วิทยุ FM ในการใช้งานยังต้องใช้หูฟังเป็นตัวรับสัญญาณเช่นเคย ระบบสามารถสแกนหาคลื่นได้โดยอัตโนมัติ แล้วยังมีปุ่มเพื่อค้นหาคลื่นอย่างละเอียดด้วย บันทึกสถานีโปรดได้ตามต้องการ พร้อมกับ ตั้งเวลาเปิดปิดได้จากเมนูเพิ่มเติม
เครื่องเล่นเพลงสามารถแบ่งแยกตามชื่อเพลง อัลบัม ศิลปิน แนวเพลง รายการที่จะเล่น หรือโฟลเดอร์ โดยเครื่องเล่นเพลงของรุ่นนี้มาพร้อมกับระบบเสียงที่เรียกว่า Dolby Mobile ยังมี EQ มาให้ปรับเสียงเบื้องต้นกันด้วย หากใครต้องการแนวเพลงที่แปลกไป และยังมีฟีเจอร์ที่จะช่วยค้นหา Music Video (MV) ของเพลงนั้นๆ ใน YouTube ให้อีกด้วย
เครื่องเล่นวีดีโอสามารถเล่นได้ที่ระดับ Full HD 1080p กันเลยทีเดียว และเวลาเล่นวีดีโอนั้นสังเกตว่าจะเห็นปุ่มการใช้งานอยู่ที่มุมขวาบนของหน้าจอมากมาย icon แรกเป็นการให้เล่นวีดีโอในโหมด Qslide ถัดมาเป็นปุ่ม Smart Share และสุดท้ายเป็นปุ่มเพื่อล็อกหน้าจอไม่ให้หมุนขณะเล่นวีดีโอ
นอกเหนือจากการเล่นวีดีโอระดับ HD ได้แล้วนั้น เครื่อง LG Optimus G เครื่องนี้ยังพกความสามารถในการตัดต่อวีดีโอมาให้อีกด้วย และก็มีมาให้ใช้งานถึง 2 รูปแบบ รูปแบบแรกก็จะเป็นการตัดต่อวีดีโอแบบทั่วๆ ไป คือมีเครื่องมือเหมือนโปรแกรม VDO Editor เช่นแทรกภาพ แทรกวีดีโอ แทรกเสียงเพลง หรือแม้กระทั่งเสียงพิเศษ (Sound Effect) ก็มีมาให้ใช้งานเหมือนกัน แถมหน้าตาก็ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน หรือใช้ยากเลย โดยมีธีมมาให้เลือกใช้งานทั้งหมดอยู่ 4 แบบ Showreel, Sentimental, Showcase, scrapbook
หรือถ้าใครที่ยังบอกว่าโปรแกรมในโหมดนี้ใช้งานยุ่งยากเกินไป ทาง LG เค้าก็มีโหมดตัดต่อวีดีโออย่างง่ายแบบสำเร็จรูปมารองรับผู้ใช้งานที่ต้องการความรวดเร็ว เรียบง่าย แต่ได้งานคุณภาพไว้ให้ใช้กันด้วย โหมดนี้เรียกว่า Video Wiz ซึ่งผู้ใช้งานไม่ต้องทำอะไรมากนักเพียงแค่เลือกรูปแบบวีดีโอในแบบที่ต้องการที่กำหนดเอาไว้ให้ โดยเราสามารถดูตัวอย่างของรูปแบบนั้นๆ ได้ก่อนที่จะนำมาใช้กับวีดีโอของเราก่อนได้ แล้วก็เลือกไฟล์ภาพ วีดีโอที่ต้องการลงไปโดย หลังจากนั้นก็บันทึก ไฟล์ที่ได้ก็จะเป็นไฟล์ .mp4 ขนาด HD 720p
กล้องถ่ายรูปกล้องหลัง มีความละเอียดสูงถึง 13 ล้านพิกเซล โดยถ่ายวีดีโอความละเอียดสูงสุด Full HD 1080p พร้อมระบบออโต้โฟกัส และ LED Flash ส่วนกล้องหน้าให้มาแบบมาตรฐานคือ 1.3 ล้านพิกเซล และถ่ายวีดีโอที่ความละเอียดสูงสุด HD 720p โดยฟีเจอร์ที่ให้มาด้วยช่วยเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับการใช้งานกล้องรุ่นนี้คือ
Time Catch short ที่ช่วยเรื่องการเลือกภาพที่ดีที่สุดก่อนกดชัตเตอร์
Cheet Shutter สั่งงานกล้องด้วยเสียง
Beauty Short ภาพที่ถ่ายจากกล้องหน้า สามารถปรับแต่งให้สวยงามขึ้นได้ สาวๆ น่าจะชอบฟีเจอร์นี้นะ แต่ถ้าจะพูดกันตรงๆ ก็ช่วยได้ไม่มากเหมือนกับภาพที่แต่งจากแอพฯ แต่งภาพอื่นๆ
เห็นรายละเอียดฟีเจอร์กันแล้วมาดูภาพที่ถ่ายมาด้วย LG Optimus G กันดีกว่า ว่าจะทำได้ดีขนาดไหนซึ่งผมก็พยายามจะถ่ายทั้งภาพนิ่งและก็วีดีโอในสภาพแสง ที่หลากหลาย แสงจ้า แสงน้อย หรือกลางคืน ออกมาให้ชมกัน
สรุปสเปคทั้งหมดของ LG Optimus G
- CPU Quad Core 1.5 GHz Krait Qualcomm APQ8064
- GPU Adreno 320
- Ram 2GB
- หน้าจอ Gorilla Glass 2 True HD-IPS LCD ขนาด 4.7 นิ้ว HD 1280 x 768 pixel (318 ppi)
- ขนาด 131.9 x 68.9 x 8.5 มม. น้ำหนัก 145 กรัม
- หน่วยความจำ 32GB และเพิ่มหน่วยความจำภายนอกไม่ได้
- รองรับ 2G GSM 850/900/1800/1900MHz
- รองรับ 3G แบบแยกรุ่น รุ่น LG-E975 รองรับคลื่น 900 (AIS), รุ่น LG-E975k รองรับคลื่น 850 (Dtac,Turemove)
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n, Wi-Fi direct, Wi-Fi Hotspot, Miracast, Bluetooth 4.0 LE, MHL, GPS (A-GPS), NFC
- กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า 1.3 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ Li-Polymer ความจุ 2100 mAh และที่สำคัญ ไม่สามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้
- Android 4.1.2 Jelly Bean
ผลทดสอบความสามารถการประมวลผลของเครื่อง
- 3D Mark = 7,411 คะแนน
- AnTuTu Benchmark V3.2.2 = 16,881 คะแนน
- Vellamo HTML5 = 1,629 คะแนน
- Vellamo Metal = 543 คะแนน
- Quadrant Standard =7,829 คะแนน
- Multitouch Tester = 10 จุด
3D Mark
AnTuTu Benchmark
Vellamo
Quadrant Standard
Multitouch Tester
เดี๋ยวเรามาพูดถึงข้อดี และข้อด้อยของเจ้า LG Optimus G กัน เท่าที่สัมผัสและถ่ายทอดออกมาได้ในระยะเวลา 1 สัปดาห์ ที่ได้ทดลองใช้งานก็แล้วกัน
ข้อดี
- ดีไซต์สวย วัสดุดี เป็นมือถือที่ให้ความรู้สึกแฟชั่นมากๆ
- ขนาดหน้าจอไม่ใหญ่มาก น้ำหนักก็ไม่มาก ยังให้ความคล่องแคล่วในการใช้งานอยู่
- Optimus UI 3.0 ทำออกมาได้เลื่อนไหลดี น่าใช้งาน
- หูฟังที่ให้มา เก๋ไก๋ดี เสียงก็ใช้ได้
ข้อด้อย
- เนื่องจากตัวเครื่องเป็นกระจกทั้งหน้าและหลัง เวลาใช้งานหากมีเหงื่อจะเกิดรอยนิ้วมือง่าย
- ตัวเครื่องค่อนข้างร้อนได้ง่าย