จำเป็นหรือไม่ แล้วทำไม Apple ต้องซื้อ Tidal !?

Apple จะขยับตัวอะไรสักอย่างสามารถเป็นข่าวไปได้เสียหมด ตั้งแต่การเปิดตัวดีไวส์รุ่นใหม่ อย่าง iPhone, iPad หรือแม้แต่ข่าวการซื้อกิจการ Tidal ก็ตาม

ในแวดวงของ ‘คนนักฟังเพลง’ เวลานี้มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ผู้บริโภคจำนวนมากเลิกที่จะ ‘ซื้อเพลง’ แล้วหันมาใช้บริการ ‘สตรีมมิ่ง’ (ฟังออนไลน์) หรือทั้งซื้อทั้งสตรีมมิง

Music

จากการรวบรวมของ RIAA เปิดเผยว่า ในปี 2015 บริการจำพวกสตรีมมิงมีรายได้เติบโตขึ้นอย่างมาก ทั้งที่ในปี 2010 มีรายได้ราวๆ เพียง 7% แต่ในปีที่แล้วบริการสตรีมมิงมีรายได้แบบก้าวกระโดเป็น 34.3% และเมื่อดูจากกราฟของการซื้อเพลงในรูปแบบ Digital Download มีอยู่ราวๆ 34% นั่นแสดงว่า รายได้จากสตรีมมิงกำลังจะเข้ามาแทนที่การซื้อเพลงในรูปแบบ Digital Download นั่นเอง

สาเหตุที่ทำให้บริการสตรีมมิงเติบโตในแง่ของรายได้ และน่าจะรวบถึงผู้ใช้บริการด้วย สาเหตุหลักคงเป็นเพราะการเติบโตของเครือข่าย 3G และ 4G ที่ทำให้ผู้ฟังเพลงทั่วโลกสามารถเลือกที่จะฟังเพลงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ตัวเองนั้นใช้บริการเป็นสมาชิก อีกทั้งการฟังเพลงในรูปแบบของสตรีมมิงก็ไม่ได้ถือเป็นอะไรที่บริโภค 3G/4G มากขนาดนั้น

MusicWar

ตัวอย่างเช่นบริการเพลงสตรีมมิงยอดนิยมอย่าง Spotify ที่มีผู้ใช้บริการเป็นสมาชิกกว่า 30 ล้านราย ซึ่งสตรีมเพลงออกมาที่ 320kbps (OVF; Ogg Vorbis format) ส่วน Apple Music อยู่ที่ 256kbps (AAC; Advanced Audio Coding) กอปรกับเชื่อมต่อผ่าน WiFi ได้ ฉะนั้นจะฟังเพลงจากที่บ้าน ในรถ หรือที่ทำงานก็ไม่กระทบต่ออินเทอร์เน็ตของเรามากนัก

อีกประการหนึ่งที่เป็นไปได้นั่นคือ ค่าบริการ เนื่องจากว่าบริการเพลงสตรีมมิงจำนวนมากคิดค่าบริการแบบเหมาจ่าย คือฟังเท่าไหร่ก็ฟังไปเลย ปลายเดือนคิดราคาเดียว แถมยังมีรูปแบบของ Family Plan ที่เราสามารถหารค่าบริการกับเพื่อนๆ ซึ่งยิ่งทำให้บริการสตรีมมิงมีราคาถูกกว่า การซื้อเพลงในรูปแบบ Digital Download ด้วยซ้ำ จึงทำให้กลายเป็นทางเลือกใหม่ของคนชอบฟังเพลงปริยาย

อย่างที่ทราบกันเมื่อเทรนด์ของโลกกำลังเน้นย้ำในบริการสตรีมมิงมากกว่าการซื้อ Digital Download แบบเดิม มีหรือที่ Apple จะไม่รู้ถึงการมาของเทรนด์นี้ นั่นจึงเป็นที่มาของ Apple Music ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้บริการราว 15 ล้านราย แต่ถึงกระนั้นบริการของ Apple Music ยังเป็นรองครึ่งต่อครึ่งกับ Spotify ซึ่งเวลานี้กลายเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Apple Music ที่มียอดผู้ใช้ราว 30 ล้านราย

AppleMusic

ด้วยความที่ยอดสมาชิกที่เป็นรองกว่า แล้วอะไรคือกุญแจที่พอจะทำให้ Apple Music พอที่จะอยู่ในสถานะได้เปรียบบ้าง?

ผมคิดว่า นั่นคือการเข้าซื้อกิจการ Tidal

แต่ถ้าว่ากันตามตรงการเข้าซื้อกิจการ Tidal ไม่ได้มีนัยสำคัญที่ทำให้ Apple จะมียอดผู้ใช้เหนือ Spotify แบบข้ามวันข้ามคืน กลับเป็นเรื่องของระยะยาวมากกว่า เพราะตัวเลขผู้ใช้ของ Tidal มีเพียงแค่ 4.5 ล้านคนเท่านั้น

แล้ว Apple ต้องการอะไร?

ผมเข้าใจว่า Apple ต้องการสิ่งที่รอบข้างของ Tidal มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นศิลปินที่ Tidal มีอยู่ในมือ การถือลิขสิทธิ์อัลบั้มต่างๆ ของศิลปินชื่อดังที่เซ็นสัญญาแบบ Exclusive ไว้กับ Tidal ซึ่งรวมถึง Music Video ต่างๆ ด้วย

JayZ

ศิลปินที่ว่ามีใครบ้างนั่นน่ะหรือ ก็จะมีตั้งแต่ Jay Z ในฐานะเจ้าของ Tidal, Beyonce, Kanye West, Madonna, Rihanna, Nicki Minaj รวมถึงบางอัลบั้มของ Prince ศิลปินผู้ล่วงลับ แล้วลองคิดต่อว่า ศิลปินเหล่านี้มี ‘เส้นสาย’ หรือ Connection กับศิลปินคนใดอีกบ้าง ผมคิดว่ามีเป็นกระบุงเลย ที่น่าจะส่งผลทางใดสักทางหนึ่งให้แก่ Apple

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ Apple หมายปองนั้น ไม่ได้มีแค่การคว้าศิลปินระดับ A-List ที่อยู่ในพอร์ตโฟลิโอของ Tidal มาไว้ในมือ Apple Music เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงลิขสิทธิ์ ภาพลักษณ์ การสร้างสรรค์ผลงานร่วมกันในอนาคต อีกทั้งยังทำให้ Apple กลายเป็นแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ที่ดูเป็นมิตรกับศิลปินมากขึ้น จากการที่มีศิลปินชื่อดังมาร่วมงาน พร้อมค่าแรงที่(คาดว่าจะ)สมน้ำสมเนื้อ

สิ่งนั้นเองจะทำให้ Apple กุมความ Exclusive ไว้กับตัวเองได้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับศิลปิน Exclusive ที่ Apple Music มีอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น Taylor Swift และ Drake ยิ่งมาผนึกกำลังกับ Jay Z และ Tidal ก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้น

ผมขอนอกเรื่องเพื่ออธิบายเรื่อง Exclusive Content อีกสักนิดนึง เราคงสังเกตกันบ้างว่า ในยุคนี้อะไรก็ตามที่มีความเป็น Exclusive Content มักได้รับความสนใจ ยกตัวอย่างเช่น ซีรีส์ Game of Thrones ของค่าย HBO ทำไมคนจำนวนมากถึงขวนขวายดาวน์โหลดซีรีส์ชุดนี้ในทุกๆ สัปดาห์ตลอด 3 เดือนไปทำไม?

ทำไมแฟนๆ ชาวไทยจึงบ่นเป็นหมีกินผึ้งในตอนที่ Netflix เข้ามาเปิดให้บริการในเมืองไทย ถึงไม่มีซีรีส์ House of Card

ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะพลังของ Exclusive Content ยิ่งหายาก ยิ่งขายดี ยิ่งเป็นที่ต้องการ

คำถามต่อมา แล้วเป็นไปได้แค่ไหนที่ Jay Z จะขาย Tidal ให้ Apple ตรงนี้ผมเชื่อว่า ถ้าเงินที่ Apple จ่ายให้กับ Jay Z เป็นจำนวนเงินที่มากพอ ก็น่าจะทำให้ Tidal อยู่ในอุ้งมือของ Apple ได้ไม่ยาก

ทั้งนี้เพราะ Jay Z ได้ซื้อ Tidal มาจาก WiMP มาอีกทอดในมูลค่า 56 ล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าจะมีการขายต่อก็มากกว่านี้หลายเท่าตัว แต่สิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างต่อมา คือต้องเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ถึงจะมากพอในการซื้อกิจการครั้งนี้?

beatsApple

หากย้อนกลับไปดูการซื้อกิจการ Beats ของ Apple จะพบว่า สิ่งหนึ่งที่ Apple ให้ความสนใจแล้วซื้อ Beats กระทั่งยอมทุ่มเงิน 3 ล้านดอลลาร์ในท้ายที่สุด อาจเป็นเพราะต้องการซื้อสายสัมพันธ์ หรือบุคลากรมากกว่าที่จะต้องการอุปกรณ์อย่างหูฟังเสียด้วยซ้ำ

โดยในเวลานั้น Apple ซื้อ Beats ในมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ เพื่อแลกกับการนำ Jimmy Iovine ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของศิลปิน Hiphop ชื่อดังจำนวนมาก กับ Dr.Dre สองผู้ร่วมก่อตั้ง Beats เป็นหนึ่งในทีมงานของ Apple

ซึ่งจุดนี้ทำให้ผมยังเชื่อว่า มูลค่าที่มองไม่เห็นของ Tidal ดูมี Power ไม่ด้อยกว่า Beats ฉะนั้นมูลค่าที่ออกมาคงเป็นจำนวนที่ไม่แตกต่างกันจากการซื้อ Beats สักเท่าไหร่

อีกทั้งยังต้องไม่ลืมว่า การซื้อ Tidal เท่ากับเป็นการกำจัดคู่แข่งในตลาดไปอีกทางหนึ่งด้วย

สรุป

เมื่อมองถึงภาพใหญ่แล้วเป็นไปได้อย่างมากว่า การที่ Apple อยากครอบครองกิจการของ Tidal เป็นในแง่ของภาพลักษณ์ที่เปรียบเสมือนแม่เหล็กของ Jay Z และศิลปินที่เป็นพันธมิตรอันเหนียวแน่นของเขานั่นเอง รวมถึงการได้เข้าถึงสิทธิ์ที่เป็น Exclusive Content ซึ่งคู่แข่งของ Apple Music ไม่มีใครได้ครอบครอง

อ้างอิง

http://www.businessinsider.com/jay-z-buys-wimp-and-tidal-streaming-services-2015-1

https://www.theguardian.com/music/2016/jun/07/tidal-uploads-rarities-from-prince-back-catalogue

http://www.nytimes.com/2014/05/29/business/media/jimmy-iovine-a-master-of-beats-lends-apple-a-skilled-ear.html?_r=1