Lazada

[PR News] รีวิว iPhone 6 Plus Vs Galaxy Note 4

ยินดีต้อนรับเข้าสู่สังเวียนการต่อสู้รุ่น heavy weight ที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์มือถือ เป็นครั้งแรกที่ apple ก้าวเข้าสู่ตลาด phablet ที่ซัมซุงครองความเป็นเจ้าตลาดมานานกว่า 4 ปี (ซัมซุงเป็นผู้สร้างตลาดนี้ขึ้นมาหรือไม่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่) นั่นหมายถึง บริษัทยักษ์ใหญ่สองบริษัท แนวคิดสองขั้วที่ตรงกันข้าม มือถือขนาดใหญ่สองรุ่น กำลังแข่งขันกันเอาชนะใจลูกค้าอย่างเราๆโดยที่ทั้งสองมีแนวทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่มีสงครามมือถือครั้งไหนจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้ว หมายความตามนั้นทุกคำ เพราะฉะนั้น นั่งประจำที่รัดเข็มขัดได้เลย งานนี้สนุกแน่

การออกแบบ – การใช้งานกับความสวยงาม

ถ้าจะเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของ Galaxy Not 4 กับ iPhone 6 Plus นั้น การออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด ฝีมือการออกแบบแนวเรียบง่ายแต่ดูมีระดับ (minimalist) ของ Apple นั้นเป็นที่กล่าวขานกันมานานแล้ว ในขณะที่ซัมซุงนั้น ในวงการขบขันกันมานานหลายปีว่ามีรูปลักษณ์ที่ขี้เหร่

clip_image002[4]

Galaxy Note 4 (left) iPhone 6 Plus (right) – image credit: Gordon Kelly

  • iPhone 6 Plus: 158.1 x 77.8 x 7.1 มม. (6.22 x 3.06 x 0.28 นิ้ว) นน. 172 กรัม (6.07 ออนซ์)
  • Galaxy Note 4: 153.5 x 78.6 x 8.5 มม. (6.04 x 3.09 x 0.33 นิ้ว) นน. 176 กรัม (6.21 ออนซ์)

แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุป อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ในบทวิจารณ์ iPhone 6 Plus Long Term Review Phablet ตัวแรกของ Apple ตัวนี้ได้รับการสรรค์สร้างมาอย่างดีเลิศ ตัวเครื่องทำจากวัสดุชั้นยอดและมีขอบเครื่องที่ไร้เหลี่ยม อย่างไรก็ตาม Apple อาจจะกำลังแสดงให้ทุกคนเห็นถึงคำว่า “ดูเหมือนจะดี” โดยใช่เหตุ

ตัวเครื่องที่ไม่มีความโค้งมนจะทำให้รู้สึกว่าถือไม่ถนัด ในขณะที่เครื่องทำจากอลูมิเนียมผิวเรียบกริบมีการประกอบแบบเป็นเนื้อเดียวไม่มีโครง ให้ความรู้สึกลื่นมือเหมือนกับกำลังถือสบู่ ดังนั้น เคส(ปลอก)ถือเป็นสิ่งจำเป็น ในขณะเดียวกัน กล้องนั้นนูนออกมาจากตัวเครื่องทำให้ดูไม่ดีและกลายเป็นจุดสัมผัสทุกครั้งที่วางเครื่อง นั่นหมายถึงตัวเครื่องจะไม่ราบลงบนพื้นทำให้พื้นหลังที่แบนเรียบนั้นไม่มีประโยชน์เข้าไปใหญ่

clip_image004

iPhone 6 Plus looks better, but Note 4′s textured back offers better grip (image credit: Gordon Kelly)

อีกด้านหนึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า Note 4 จะสวยงามดึงดูด Phablet รุ่นที่ 4 ของซัมซุงนี้พัฒนามากขึ้นด้วยการใช้โครงโลหะที่คงตัว (ไม่มีการงอ)และเพิ่มความนุ่มนวลโดยการติดหนังเทียมด้านหลัง แต่นั่น ก็ไม่ได้ทำให้ชนะการประกวดความงามแต่อย่างใด

ความพยายามของซัมซุงที่จะรวมปุ่ม home แบบกดเข้ากับปุ่มอื่นๆที่เป็นแบบสัมผัสทำให้หลายๆคนไม่ปลื้ม และดูเหมือนว่าซัมซุงก็ยังไม่ไปในองศาที่ถูกต้องเหมือนกับพวก Motorola HTC หรือ LG ครั้งนี้ Note 4 ดูเป็นของถูกรูปทรงเหลี่ยม ไม่เหมือน Note 3 ที่ดูเป็นของถูกรูปทรงโค้งมน ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไร (โดยการย่อมุมขอบแทบจะทุกขอบที่มี) ซัมซุงนั้นไม่สามารถออกแบบให้โดนใจได้จริงๆ

แต่ทว่า สิ่งที่ Note 4 เอาชนะ iPhone 6 Plus ได้ในภาพรวมก็คือ ความถนัดในการใช้งาน ด้านหลังของเครื่องมีการเพิ่มความโค้งมนและผิวสัมผัสทำให้รู้สึกดีเวลาถือ (แม้เครื่องจะกว้างกว่าก็ตาม) และจับถนัดมือซึ่งจะทำให้การใช้งานมือเดียวมีความเป็นไปได้ (เพิ่มเติมประเด็นนี้ภายหลัง) ยิ่งไปกว่านั้น ขอบเครื่องก็บางกว่ามาก แบ็ตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ และมี microSD การ์ดที่ขยายความจุได้

clip_image006

Galaxy Note 4 has a removable battery and expandable storage (image credit: Gordon Kelly)

กล้อง Note 4 ที่นูนออกมาอาจจะใหญ่กว่า iPhone 6 Plus ด้วยซ้ำ แต่ก็ทำให้กระจายแรงกระแทกออกไปได้กว้างกว่า แต่อย่าเข้าใจผิด ยังไงก็ต้องมีการกระแทกและการขีดข่วน แต่โดยทั่วๆไปก็ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ทนทานกว่า ถือแล้วรู้สึกดีกว่า และมีความยืดหยุ่นมากกว่า

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความภักดีในการใช้งาน iOS หรือ Android ของคุณจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะชอบอะไรมากกว่ากัน แต่สำหรับกลุ่มทีกลางๆที่ไม่ได้รู้สึกแย่กับข้อด้อยด้านรูปลักษณ์ Note 4 เป็นงานออกแบบที่ดีกว่าที่จะอยู่ด้วยเป็นอย่างมาก ผมนึกอยากให้ Samsung ทำรุ่นนี้ให้กันน้ำเหมือน Galaxy S5 ซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าทำไมจึงขาดข้อนี้ไป

clip_image008

iPhone 6 Plus uses an IPS display while the Note 4 has Super AMOLED (image credit: Gordon Kelly)

จอแสดงผล-น่าตื่นตาตื่นใจ

Note 4 มีข้อดีที่เห็นเป็นรูปธรรมเช่นกัน คือ หน้าจอมีขนาดใหญ่กว่า และความละเอียดสูงกว่า

  • iPhone 6 Plus: หน้าจอ IPS 5.5-นิ้ว , ควมละเอียด 1,920 x 1,080 (401 พิกเซลต่อนิ้ว)
  • Galaxy Note 4: หน้าจอ Super AMOLED 5.7- นิ้ว, ความละเอียด 2,560 x 1,440 (515 พิกเซลต่อนิ้ว)

จอแสดงผลทั้งสองรุ่นนี้ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของทั้งสองบริษัท Apple ไม่เคยสร้างหน้าจอที่ใหญ่และมีความละเอียดมากขนาดนี้มาก่อน ในขณะที่ซัมซุงมีจอขนาด 5.7 นิ้วมาแล้วใน Note 3 แต่ได้ขยับความละเอียดเพิ่มขึ้นสูงกว่า 2000 พิกเซลใน Note 4 จอแสดงผลทั้งสองรุ่นนี้น่าตื่นตาตื่นใจทีเดียว ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของเครื่องรุ่นใดรุ่นหนึ่งเมื่อเปิดหน้าจอ lock screen ขึ้นมาก็จะต้องมีรอยยิ้มแน่ๆ

นี่คือการแสดงผลหน้าจอทั้งสองรุ่นเทียบเคียงกันซึ่ง Note 4 มาเหนือกว่า จอแบบ AMOLED ให้สีที่สดและสว่างกว่าคู่แข่งที่สำคัญคือจอ IPS รุ่นต่างๆ และนี่คือสิ่งที่ผู้คนชื่นชอบ จอ IPS ต่อกรด้วยการให้สีที่เป็นธรรมชาติมากกว่า แต่ในเมื่อสนามแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือดซัมซุงก็ยังสามารถคุมเกมส์เรื่องความเกินจริงของสีได้เป็นอย่างดีใน Note 4

ยิ่งไปกว่านั้น Note 4 ยังเก็บรายละเอียดภาพได้มากกว่าอีกด้วย Apple อาจจะเคยจัดว่าความละเอียดระดับเท่าจอตาของมนุษย์ ก็คือ 326 พิกเซลต่อนิ้วหรือสูงกว่านั้น แต่ทว่า เมื่อเป็นการใช้งานของหน้าจอที่มีขนาดใหญ่อย่างนั้น คนเราจะรับรู้ความแตกต่างของความละเอียดที่สูงกว่านั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูวีดีโอ (ซัมซุงยังสามารถทำหน้าจอให้ใหญ่กว่า iPhone 6 Plus ถึง 0.2 นิ้ว ในขณะที่เครื่องมีขนาดสั้นกว่า ทั้งนี้เนื่องมาจากหน้าจอมีขอบที่แคบกว่ามาก)

clip_image010

iPhone 6 Plus homescreen in landscape mode (image credit: Gordon Kelly)

คุณลักษณะเด่น-มากเกินพอกับน้อยเกินไป

จุดสนใจในที่นี้คือความสามารถในการทำงานต่างๆ โดยเฉพาะในด้านที่จะใช้ความได้เปรียบของขนาดทีใหญ่ของ phablet

โดยสรุป iPhone 6 Plus มีดีที่ศักยภาพในการพัฒนาต่อยอด หน้าจอหลักสามารถแสดงได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน Apple ก็ได้เพิ่มความสามารถในการทำงานตามแบบ iPad เข้าไปใน application หลักหลายๆตัวในการทำงานแนวนอน (เช่น stockapp ที่เห็นด้านล่าง) ต่อจากนี้ก็ต้องรอดูว่าผู้พัฒนา application รายอื่นๆจะนำข้อได้เปรียบนี้ไปใช้หรือไม่อย่างไร

clip_image012

iPhone 6 Plus – Stocks app in landscape mode (image credit: Gordon Kelly)

อีกด้านหนึ่ง Note 4 เองก็รวมเอากลยุทธ์ของ phablet ที่ผ่านมาทั้ง 4 รุ่นของซัมซุงเข้าไว้อย่างเห็นได้ชัด

ข้อแตกต่างที่เห็นชัดที่สุดก็คือปากกา S Pen ของ Note 4 การนำ stylus มาใช้งานน่าจะหมดไปตั้งแต่เมื่อ iPhone ถือกำเนิดขึ้นมาแต่แรกแล้ว แต่เมื่อหน้าจอมีขนาดใหญ่เช่นนี้การใช้ stylus ก็ดูจะเข้าท่าขึ้นมาอีกครั้ง หลักๆก็เนื่องมาจาก S Pen ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเขียนได้คล่องเหมือนปากกาจริงๆแต่ดียิ่งกว่าด้วยมีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูงกว่ามาก

clip_image014

Note 4 with integrated S Pen stylus (image credit: Gordon Kelly)

การเขียนลงบนหน้าจอนั้นใช้เวลาวันสองวันถึงจะคุ้นชิน แต่หลังจากนั้นไปจะเหมือนกับว่ามีสมุดจดไว้ใช้งานตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นเอกสาร จดบันทึกบนหน้าจอ หรือแค่ใช้งานโทรศัพท์ทั่วๆไปก็เป็นสิ่งที่รวดเร็วและได้อย่างใจ Note 4 จะทำการกวนใจคุณเมื่อใดก็ตามที่เครื่องไม่สามารถติดต่อกับ S Pen ได้ซึ่งนั่นก็จะทำให้คุณเลิกทำ S Pen หาย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องความฉลาดของเครื่องซึ่ง Ian จะเจาะลึกรายละเอียดเรื่องนี้ในบทวิจารณ์ Note 4 review โดยเฉพาะ

clip_image016

The S Pen stylus with the Note 4 writes with exceptional quality (image credit: Gordon Kelly)

เรื่องฉลาดๆอีกเรื่องของ Note 4 ก็คือเรื่องการแสดงผลหลายๆหน้าจอพร้อมๆกัน สามารถใช้งานโปรแกรมต่างๆไปพร้อมๆกันได้หลายๆหน้าจอ และสามารถย่อ-ขยายขนาดเท่าไรก็ได้ ถ้าเราต้องการดูวีดีโอ Youtube ไปพร้อมๆกับการท่องเว็บหรือการอ่านอีเมลก็สามารถทำได้ เราสามารถเรียกใช้คุณสมบัตินี้ได้โดยใช้รูปแบบการเคลื่อนไหวของนิ้ว นั่นหมายความว่าอาจมีการเรียกใช้งานคุณสมบัติเหล่านี้โดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงเป็นการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาดจากความใหญ่ของ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณสมบัตินี้ยังไม่ได้รับการสนับสนุนการใช้งานจาก Android

clip_image018

Galaxy Note 4 multi-window mode (image credit: Gordon Kelly)

นี่แหละคือจุดที่ความเกินพอเกิดขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงคือ Google ยังไม่มีการพัฒนาโปรแกรมสำหรับการใช้งาน phablet ภาระในการพัฒนาโปรแรกมทั้งหมดจึงตกอยู่กับซัมซุง สิ่งนี้ส่งผลให้มีโปรแกรมที่เกินความจำเป็น เกิดขึ้นมากมาย และของ Note มีมากกว่า Galaxy S5 เสียอีก โปรแกรม TouchWiz ทำให้เสียความรู้สึกกับการใช้งาน Android รุ่นเฉพาะของซัมซุงเอง แย่ยิ่งกว่าโปรแกรมหน้าหลักที่มาจากผู้พัฒนาโปรแกรมรายอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะมี Google Launcher ออกมาแก้ปัญหาก็ตาม

ตามที่กล่าวมานั้น แม้ว่าปัจจุบัน Note 4 จะเป็นอุปกรณ์ที่มีคุณลักษณะของ phablet สมบูรณ์กว่าก็ตาม แต่ในระยะยาวถ้าหากว่า Google ไม่มีการผลักดันพัฒนา Nexus 6 ออกมาให้เป็น phablet แล้ว ความได้เปรียบจะไปอยู่กับ Apple มากกว่า

ระบบ Andriod กับ iOS 8

เรื่องของโทรศัพท์สองรุ่นนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบแบบตัวต่อตัวระหว่าง Android กับ iOS 8 เลย (ผมจะพูดถึงประเด็นนั้นโดยเฉพาะเมื่อ Android 5.0 Lollipop ทำการเปิดตัว) อย่างไรก็ดี มีจุดที่เป็นประเด็นน่าสนใจเช่นกัน

ในส่วนของ Apple ประเด็นใหญ่ที่มากับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ก็คือความสามารถในการทำงานร่วมกัน ของ Apple Pay กับระบบความปลอดภัยที่เรียบง่ายของ TouchID ด้านซัมซุงเองก็ยังคงเสนอระบบความปลอดภัยแบบ sensor ที่จับลายนิ้วมือจากการเลื่อนนิ้ว (ใช้ได้กับ Paypal) รวมถึงตัวจับอัตราการเต้นของหัวใจที่อยู่ด้านหลังข้างๆกับ flash ซึ่งมีการใช้งานร่วมกับโปรแกรม S Healthfitness ของซัมซุงเอง

clip_image020

Galaxy Note 4 TouchWiz interface, apps and S Health

อีกครั้ง อย่างไรเสียก็คงรู้สึกได้ว่าซัมซุงยังคงทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไข Android อยู่บ้างเพื่อประโยชน์ของตน เป็นความจริงที่ซัมซุงได้ลดการแก้ไข Android ในรูปแบบเฉพาะมาตั้งแต่ที่ Google ได้ทำการตักเตือนแล้ว และการดัดแปลงในลักษณะเช่น การสลับตำแหน่งของปุ่มย้อนกลับ กับปุ่ม multitasking แทบจะไม่มีผลอะไรเลย เช่นเดียวกับการเปลี่ยนหน้ากากของหน้าจอกดเบอร์หรือหน้าสมุดโทรศัพท์หรืออื่นๆก็เช่นเดียวกัน

ส่วนในด้านดี ซัมซุงมีความพยายามมากกว่า Apple ที่จะดัดแปลงระบบของตนให้เหมาะกับการใช้งานแบบมือเดียว ในขณะที่ Apple เน้นไปที่ทำอย่างไรให้นิ้วเอื้อมถึง (เช่น สามารถลากหน้าจอไปมาได้โดยการแตะปุ่ม home ย้ำๆสองครั้ง) ซัมซุงทำให้ผู้ใช้งานย่อขนาดหน้าจอได้โดยใช้งานได้เหมือนเดิม สามารถเลื่อนคำสั่งการทำงานหลักไปยังจุดไหนก็ได้บนหน้าจอ และยังสามารถย่อขนาด keyboard ได้ สามารถย่อขนาด keyboard ด้วยโปรแกรม Swiftkey ก็ได้ แต่ก็ทำให้รู้สึกดี

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สามารถทำให้ Note 4 เป็นอุปกรณ์ใช้งานมือเดียวได้หรือไม่ ใกล้เคียงทีเดียว ต้องใช้ความพยายามอีกเล็กน้อย

clip_image022

Samsung customisation means Note 4 can be used one handed more easily than iPhone 6 Plus (image credit: Gordon Kelly)

สมรรถนะการทำงาน-มองข้ามรายละเอียดทางเทคนิค

ถ้าดูข้อมูลจะเหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้

  • iPhone 6 Plus: Apple A8 chipset – dual core 1.4GHz CPU, quad-core PowerVR GX6450 GPU, 1GB RAM
  • Galaxy Note 4: 1.9GHz Octa Core (1.9GHz Quad + 1.3GHz Quad Core) Process, 3GB RAM

ดูจากข้อมูลอาจจะเหมือนว่า Note 4 เป็นโทรศัพท์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า แต่ทว่า iPhone ก็ไม่ใช่แค่ใช้ได้ในระดับหนึ่งในทุกด้าน ในโลกแห่งการใช้งานจริงของสองรุ่นนี้ iPhone 6 Plus คือโทรศัพท์ที่เร็วกว่า ตอบสนองได้ดีกว่า

เวลาในการเรียกใช้งานโปรแกรมของ iPhone 6 Plus ก็เร็วกว่าเล็กน้อย แม้กระทั่งในส่วนของโปรแกรมการทำงานที่เหมือนกันทุกประการ Note 4 ก็ยังคงมีอาการของการสะดุดเล็ดรอดออกมาให้เห็น ผมไม่โทษ Android เลยในเรื่องนี้ นี่คือปัญหาเรื้อรังของซัมซุงมานานแล้ว

TouchWiz นั้นไม่มีประสิทธิภาพ ซัมซุงได้พยายามแล้วที่จะปรับให้การทำงานเรียบลื่นขึ้น แต่แค่การเลื่อนดูโปรแกรมพื้นฐานต่างๆก็ยังคงรู้สึกสะดุด พบว่าทุกอย่างทำงานอย่างเรียบลื่น แม้แต่ iPhone 6 Plus ก็ใช่ว่าจะเหนือกว่า

ผมรู้สึกสงสารการดัดแปลง TouchWiz บน Note 4 ของซัมซุงมากกว่าโทรศัทพ์อื่นๆ เพราะว่าสิ่งที่คนอื่นทำจัดเป็นการเพิ่มคุณค่าให้แก่ phablet การทำงานที่สะดุดไม่ควรจะเกิดขึ้นกับ Note 4 เลย

ยิ่งไปกว่านั้น Note 4 มีเครื่องที่ร้อนกว่า iPhone 6 Plus มากเมื่อใช้งานหนัก มันไม่ถึงกับร้อนจัดจนจะไหม้แต่มันก็ทำให้มือเรารู้สึกร้อนขึ้นได้ (เหมาะกับวันอากาศหนาวไหม?) ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ในเมื่อ iPhone 6 Plus เป็นเหมือนเป็นกล่องเก็บความร้อนขนาดย่อมๆด้วยตัวเครื่องที่บางสุดๆ

แต่ท้ายที่สุด phablet ทั้งสองตัวก็ทำงานเร็วมาก และผ่านมาระยะหนึ่งแล้วก็ยังไม่มีตัวไหนได้รับการทดสอบบนโปรแกรมใดๆจากผู้พัฒนาอื่นๆ อย่างไรก็ดี iPhone 6 Plus ก็ทำทุกอย่างได้อย่างประณีตกว่า

clip_image024

iPhone 6 Plus (left), Note 4 (right) picks up more detail viewed full size (image credit: Gordon Kelly)

กล้อง-บทสรุปดีที่สุดของกลุ่ม

กล้องของ iPhone 6 Plus น่าจะเป็นจุดเด่นที่เป็นตัวปราบคู่แข่งของ iPhone ยุคใหม่ แม้จะยังคงเป็น 8 เม็กกะพิกเซลมาเป็นเวลา 4ปีติดต่อกันแล้ว แต่ความเป็นจริงคือ เป็นกล้องที่สมควรได้รับการยกย่อง อีกครั้งที่เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลกับ Note 4 แล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่เป็นคู่ต่อสู้กัน

  • iPhone 6 Plus: ความละเอียด 8 เม็กกะพิกเซล, รูรับแสง f2.2, วีดีโอ 1080p . กล้องหน้า: 1.2MP, วีดีโอ 720p
  • Galaxy Note 4: ความละเอียด16 เม็กกะพิกเซล, รูรับแสง f2.2 , วีดีโอ 4k (2160p) . กล้องหน้ส: 3.7MP, วีดีโอ1440p

ดูข้อมูลเหมือนกับ Apple ยังคงตบตาผู้อื่นด้วยข้อมูลทางเทคนิค แต่ด้วยตัวช่วยต่างๆ sensor ของรูรับแสง f2.2 ที่มีคุณภาพดีขึ้น Focus Pixels ที่ทำให้การปรับโฟกัสเร็วขึ้น ไฟแฟลชคู่สองโทน และตัวปรับความนิ่งของภาพ (OIS) ทำให้ภาพถ่ายที่ออกมามีคุณภาพที่ดีจนหาตัวจับยาก

clip_image026

iPhone 6 Plus camera has superb colour reproduction (image credit: Gordon Kelly)

ความเร็วชัตเตอร์ และความสมจริงของสีนั้นน่าประทับใจอย่างยิ่งยวด กล้องสามารถทำงานได้ดีในสภาพแสงน้อยมากๆดังที่แสดงให้เห็นในการถ่ายภาพไฟแช็คในที่มืดสนิท

clip_image028

iPhone 6 Plus in low light (image credit: Gordon Kelly)

แต่ในขณะเดียวกัน Note 4 ก็สามารถใช้ประโยชน์จาก spec ที่เลอเลิศของตนได้ดีมาก ไม่ใช่เพียงแค่ทำผลงานเท่ากับ iPhone 6 Plus แต่ทำได้ดีกว่าในบางสถานการณ์เลยทีเดียว ทดสอบแบบเหมือนกันทุกประการด้วยการถ่ายภาพไฟแช็ค สามารถเห็นได้ว่า Note 4 ให้ภาพที่น่าประทับใจกว่า ถึงแม้ว่าความแตกต่างหลักๆของทั้งสองรุ่นจะอยู่ที่สภาพแสงเยอะก็ตาม ในสภาวะนั้นกล้องที่มี sensor ใหญ่กว่าจะสามารถเก็บรายละเอียดได้มากกว่า (ดังภาพของใบไม้ด้านบน)

clip_image030

Galaxy Note 4 camera has incredible detail, but can oversharpen (image credit: Gordon Kelly)

ถ้าจะมีข้อติติง Note 4 สักอย่างหนึ่งก็น่าจะเป็นความที่ซัมซุงหมกมุ่นกับการปรับความคมชัดของทุกสิ่งทุกอย่าง และ ณ จุดหนึ่ง ประเด็นนี้ก็ถูกสังเกตเห็นได้เมื่อในภาพมีต้นกำเนิดแสงมาจากหลายๆแหล่ง

iPhone 6 Plus ก็ต่อสู้มาด้วยการถ่ายวีดีโอภาพช้าที่มีความคมชัดสูงกว่า และอัตรา 240 เฟรมต่อวินาทีทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ในการถ่ายวีดีโอมาตรฐาน Note 4 ทำได้ดีกว่าด้วยความละเอียดของภาพวีดีโอ 4000 พิกเซล (เตรียมพร้อมสำหรับคลื่นยักษ์ของ TV 4000 พิกเซลที่จะมีราคาที่ซื้อได้ในปี 2015) นอกจากนั้น แม้ว่ากล้องหน้าของทั้งสองรุ่นจะปรับให้คุณภาพลดลง แต่กลุ่มคนชอบ selfie จะต้องพึงพอใจกับภาพของ Note 4 มากกว่า

ผู้ที่เป็นเจ้าของโทรศัพท์รุ่นใดรุ่นหนึ่งก็ตามในสองรุ่นนี้จะต้องตื่นเต้นไปกับกล้องที่ทั้งสองบริษัทสร้างสรรค์ขึ้นมา สำหรับผม Note 4 ใช่เลย แต่สำหรับผู้ที่มุ่งมั่นจะปลดปล่อยพลัง Zack Snyder ในตนด้วยการถ่าย slow motion มากมายมหาศาล จะต้องชอบ iPhone 6 Plus มากกว่า

clip_image032

Both phablets quick charge but Apple supplies quick charge cable separately (image credit: Gordon Kelly)

อายุแบ็ตเตอรี่-ขับเคลื่อนทั้งวันทั้งคืน

นอกเหนือจากจอขนาดใหญ่แล้ว ข้อดีสำคัญของการเป็นเจ้าของ tablet ก็คือพื้นที่ที่มากพอจะใส่แบ็ตเตอรี่ขนาดใหญ่

  • iPhone 6 Plus: แบ็ตเตอรี่ 2,915 mAh
  • Galaxy Note 4: แบ็ตเตอรี่ 3,220 mAh

ผลที่ได้คือ phablet ทั้งสองรุ่นมีอายุแบ็ตเตอรี่นานเหนือความคาดหมาย ถ้าไม่ได้เล่นเกมส์ต่อเนื่อง ทั้งวันโทรศัพท์ของคุณไม่มีทางดับเลยต่อให้ใช้งานหนักก็ตาม ถ้าใช้งานปรกติสามารถอยู่ได้ถึง 2 วัน และถ้าใช้น้อยก็อยู่ได้นานกว่านั้นอีก

คุณสมบัติแบบนี้ทำให้โทรศัพท์ทั้งสองรุ่นอยู่ในลำดับชั้นของตัวเองโดยอายุแบ็ตอยู่ในระดับเดียวกับ tablet แต่ถ้าจะเปรียบเทียบคู่นี้ ใครที่เหนือกว่า?

ระยะเวลาการใช้งานของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่ติดตั้งลงไป การตั้งค่าใช้งานต่างๆ(เช่นความสว่าง หรือการปรับปรุงข้อมูลเบื้องหลัง) และเรื่องอื่นๆ แต่ถ้าเป็นเครื่องเดิมๆไม่ได้ติดตั้งอะไรเพิ่ม บอกได้ว่าอายุแบ็ตเตอรี่ของ iPhone 6 Plus นานกว่าเล็กน้อย

ความต่างตรงนี้จะเห็นชัดมากที่สุดเมื่อเรา stand by เครื่อง ข้ามคืน Note 4 จะกินแบ็ตเตอรี่ประมาณ 5-10% ในขณะที่ iPhone 6 Plus จะกินไปแค่ 1-2% เท่านั้น น่าคิดที่ซัมซุงอ้างว่า stand by ได้นานกว่า Apple แต่ก็ไม่เป็นไรสำหรับผม

ถ้าหากใครเกิดเครื่องดับขึ้นมา ทั้งสองรุ่นมีระบบ charge ด่วน Note 4 สามารถชาร์จขึ้นมา 50% ภายในเวลาเพียง 30 นาที และการใช้งานจริงก็เป็นอย่างนั้นจริงๆแต่คุณต้องไม่ใช้งานไปด้วยชาร์จไปด้วยเพราะจะชาร์จช้าลงมาก

iPhone 6 Plus ชาร์จไม่เร็วเท่า Note 4 แต่ถ้าใช้ตัวชาร์จที่แรงกว่าจะใช้เวลาเร็วกว่าถึงสองเท่า ประหลาดที่ Apple ไม่ได้ให้ตัวชาร์จแรงมากับเครื่องคุณจึงต้องซื้อแยกต่างหาก หรือถ้าคุณมีตัวชาร์จของ iPad ก็ใช้ได้เลย

ในชีวิตจริงโทรศัพท์ทั้งสองรุ่นไม่มีทางดับในการใช้งานระหว่างวัน คุณสามารถบอกลาการอยู่ติดปลั๊กไฟได้เลย

บทสรุป-แนวทางแตกต่าง ผลลัพธ์ใกล้เคียง

ถ้าหากจะให้สรุป phablet ของ Apple และ ซัมซุง มาสามคำจะได้ดังนี้

  • iPhone 6 Plus: สวยงาม เรียบง่าย ใช้งานได้ไม่ถนัด
  • Note 4: ดูธรรมดา ซับซ้อน ใช้งานได้ถนัด

ในบางแง่มุม iPhone 6 Plus เป็นโทรศัพท์ที่พื้นๆ มันคือ iPhone 6 ที่ขยายขนาดขึ้น มีแบ็ตเตอรี่ใหญ่ขึ้นและมีโปรแกรมบางตัวที่ใช้งานตามแนวนอนได้ ข้อที่ว่า iPhone 6 Plus เป็นเพียงการขยายขนาดของ iPhone 6 ขึ้นนั้น ทำให้มันกลายเป็นโทรศัพท์ที่ใช้งานไม่ถนัดที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา (แม้จะสวยก็ตาม) รูปลักษณ์สวยงามทั้งหลายนั้นต้องซ่อนตัวอยู่ภายใต้ปลอกมือถือ

ข่าวดีคือเป็นโทรศัพท์ที่มีศักยภาพพอที่จะให้นักพัฒนาโปรแกรมภายนอกต่อยอดเพื่อให้ iPhone 6 Plus มีความแตกต่างจาก iPhone 6 และ iPad เพื่อที่จะได้เป็นอุปกรณ์ลูกผสมอย่างแท้จริง เพราะมันเป็นโทรศัพท์แนวคิดใหม่ น่าตื่นเต้น และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าน่าตอบสนอง

ในทางกลับกัน Note 4 เป็นประสบการณ์ที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วเพราะเป็นที่รวมของพัฒนาการ phablet ทั้งสี่รุ่นก่อนหน้า เป็นโทรศัพท์ที่เหนือกว่าทั้งจอแสดงผล และกล้อง ในขณะที่มีราคาต่ำกว่ามาก อีกทั้งการนำข้อได้เปรียบของการเป็น phablet มาใช้อย่างเป็นรูปธรรมก็ยังทำได้ดีกว่ามาก ณ ตอนนี้ แม้จะมีจุดให้คิดเล็กน้อยที่ว่าระบบการทำงานต่างๆถูกสร้างสรรค์โดยซัมซุงมากกว่า Google.

ถ้าคุณไม่ได้มีความยึดติดกับ iOS แล้ว Galaxy Note 4 คืออุปกรณ์ที่ดีกว่า คำกล่าวนี้จะเป็นจริงแค่ไหนในอีกหกเดือนข้างหน้า ต้องขึ้นอยู่กับการพัฒนาของนักพัฒนาโปรแกรม Apple จากภายนอก และความทะเยอทะยานของ Google ที่จะทำ Nexus 6 ออกมา