Lazada

5 เหตุผล ทำไมถึงซื้อ Garmin Vivofit

vivofit_blogpost

ถึงตอนนี้คงไม่ต้องสาธยายกันมากมายให้เปลืองเนื้อที่ว่า อุปกรณ์สวมใส่ หรือที่เรียกกันแบบเท่ๆ ในภาษาอังกฤษว่า Wearable Device กำลังเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่วงการไอทีพยายามที่จะเกาะกระแสกันแทบทุกแบรนด์

ในความเห็นส่วนตนของผมนะครับ Wearable Device เวลานี้ยังอยู่ในสถานะ ‘ลูกผีลูกคน’ ด้วยความที่มันยังเป็นตลาดใหม่ถอดด้าม การลงทุนในด้านนี้แบบร้อยเปอร์เซนต์จึงยังไม่มีให้เห็น ส่วนใหญ่ออกดีไวส์ Wearable Device แบบกั๊กๆ  ไปจนถึงการถามหาถึงความจำเป็นว่า มีสมาร์ทโฟนแล้ว อุปกรณ์สวมใส่ยังต้องซื้ออีกเหรอ ?

ประโยคข้างต้นผมเองก็ยังสงสัยในสิ่งที่ผมตั้งประเด็นเองด้วยซ้ำว่าแล้ว ตกลง Wearable Device มันจำเป็นจริงหรือเปล่า ?

นั่นจึงเป็นที่มาที่ผม ‘อยากลองของ’ ด้วยการซื้อ Wearable Device ชิ้นแรก ด้วยเงินตัวเอง ไม่ใช่การรับของมารีวิวเหมือนปกติ และชิ้นแรกที่ซื้อมานี้ มันมีชื่อว่า Garmin Vivofit ซึ่งในบทความชิ้นต่อไปก็จะพูดถึงในประเด็นที่ว่า ‘เราจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมี Wearable Device’

บอกตามตรง จริงๆ ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า Garmin (ที่เรารู้จักในด้านการทำเนวิเกเตอร์) ได้ออกอุปกรณ์สวมใส่มาในชื่อ Vivofit ผมได้มีโอกาสลองเล่นตอนที่ Garmin เชิญบล็อกเกอร์ไปทดสอบ สิ่งที่ผมได้กลับมาจากงานนั้น แต่เป็นสิ่งที่กำลังจะต้องเสียไป คือ ‘ดูท่าจะต้องซื้อเจ้า Vivofit แฮะ’

หลังจากนั้น กระบวนการสั่งซื้อได้ถือฤกษ์เริ่มต้นขึ้น และเมื่อได้ของ การเริ่มทดสอบแบบจริงจังก็เลยเริ่มต้นขึ้น จึงเป็นที่มาของบทความนี้ว่า อะไรคือ เหตุผลที่ทำให้ผมต้องซื้อ Garmin Vivofit

ประการแรก First Impression

maxresdefault

ประสบการณ์รักแรกพบ (เลี่ยนไปนะ) เป็นสิ่งแรกที่ผมรู้สึกต่อสิ่งนี้ ผมเคยมีโอกาสสัมผัส Wearable Device มาหลายรุ่น ทั้ง Smartwatch ของ Sony หรือ Galaxy Gear ของซัมซุง ไปจนถึงแบรนด์ที่ทำออกมาก่อนหน้านี้อย่าง Up และ Fitbit ที่ยืมมิตรสหายมาใช้ช่วงขณะหนึ่ง ฟีลลิ่งของการชอบตัวดีไวส์มันไม่มี ต่างกับ Vivofit ที่ทำให้ผมรู้สึกโอเคกับมัน

การสวมใส่ค่อนข้างคล่องตัว วัสดุก็เป็นยางที่ค่อนข้างโอเค และที่สำคัญ คือ ปุ่มการใช้งาน มันมีปุ่มเดียว ไม่ต้องสัมผัสหน้าจอให้ยุ่งยากรำคาญใจ

ประการที่สอง แบตเตอรี ใส่ได้ 1 ปี

Vivofit and life style

โอเค ถึงใน Factsheet จะบอกว่า Vivofit ใช้งานได้มากกว่า 1 ปี แต่ผมไม่ค่อยเชื่อ ผมว่าอย่างเก่งก็คง 1 ปี ไม่เกินไปจากนี้ …..ในประโยคที่ว่านี้มันมีอะไร ?

นัยสำคัญของประโยคนี้ที่ผมจะพูดถึง มันคือ เวลาที่ผมใช้ Vivofit ในแต่ละวัน ผมไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตเตอรีเพื่อให้พลังงานเครื่องเลย แม้แต่น้อย

ผมว่า นี่มันเป็นข้อดีจริงๆ ผมเคยบ่นเอาไว้หลายต่อหลายครั้งว่า อุปกรณ์จำพวก Wearable Device ตอนนี้ยังมีจุดบอดที่สำคัญ คือ มันยังมีปัญหาที่แบตเตอรี ที่ไม่สามารถใช้งานได้ยาวนานมากพอ และด้วยความที่ผมเป็นคนที่ค่อนข้างขี้คร้านจะชาร์จพวกอุปกรณ์เหล่านี้ การที่ต้องชาร์จมันบ่อยๆ จึงเป็นเรื่องน่าเบื่อ

ทำไม Vivofit ถึงไม่ต้องชาร์จ ? นี่อาจเป็นคำถามของคุณผู้อ่านในเวลานี้

ที่มันไม่ต้องชาร์จ เพราะว่า ตัวมันไม่ได้มีหน้าจอสัมผัส ไม่ได้มีกราฟิกอะไรมาก สีก็ไม่ได้ฉูดฉาด ดังนั้นแค่ถ่านนาฬิกาอันเดียวจึงเอาอยู่

คำถามต่อมา อ้าวแล้วแบบนี้ถ้าแบตหมดจะทำไง ?

ก็ไม่ยากครับ แกะตัวหน้าปัดกับสายออกมา เอาไขควงขันสกรูออก แล้วเอาถ่านนาฬิกาอันละไม่กี่บาทมาเปลี่ยนก็จบ ….เก๋กู๊ดมาก

นี่จึงเป็นเหตุผลข้อที่สอง ที่ผมแฮปปี้กับ Vivofit

ประการที่สาม กันน้ำได้ !

P1070450-XL

อย่างที่บอกไปในข้อที่แล้ว Wearable Device มีข้อจำกัดใหญ่ๆ ตรงที่แบตเตอรีจะต้องชาร์จบ่อยๆ วันละครั้ง สามวันครั้ง หรืออาทิตย์ละครั้ง ท่วายังมีปัญหาอีกข้อนึงที่หลายคนค่อนข้างกังวล คือ มันจะเจ๊งไหม ถ้าโดนน้ำ

อาห์ ถ้าบอกตรงๆ อุปกรณ์เหล่านั้นมันก็พอโดนน้ำได้อยู่ครับ แต่ถ้าโดนน้ำแบบเต็มๆ สาดแบบหนักหน่วง ก็คงไม่รอดครับ มีสิทธิ์เจ๊งเอาได้ แต่ Vivofit มันกันน้ำได้ลึกถึง 50 เมตรครับ ทีนี้พอมันกันน้ำได้ถึงขนาดนี้ ผมจึงใส่มันตลอดเวลาครับ ตั้งแต่ตอนนอน อาบน้ำ กินข้าว ออกกำลังกาย ก็ใส่มันตลอด พอเห็นว่ามันเลอะ ก็ล้างน้ำมันซะตรงๆ ชนิดไม่ต้องกลัวมันจะเจ๊ง

ประการที่สี่ ไม่ระคายเคือง

Garmin-Vivofit-658x370

ต่อจากข้อที่แล้ว จะเห็นได้ว่า ผมใส่ Vivofit แทบจะตลอดเวลาของการใช้ชีวิตในวันหนึ่งๆ คำถามที่น่าสนใจแล้วผมไม่รู้สึกระคายเคือง หรือคันตรงข้อมือบ้างเหรอครับ ?

แปลกแต่จริงครับ ผมไม่รู้สึกเลย อันนี้ตอบไม่ได้เหมือนกันว่า เป็นเพราะอะไร ถ้าให้คาดเดา ก็คงเป็นวัสดุที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดี มีส่วนนุ่ม จึงทำให้ข้อมือไม่รู้สึกเจ็บ และไม่รู้สึกคันเวลาสวมใส่

ประการที่ห้า เปลี่ยนสีของสายข้อมือได้

Vivofit and colour

อุปกรณ์สวมใส่หลายเจ้าที่วางขายในท้องตลาดยามนี้ เวลานี้ ส่วนใหญ่จะเป็นแบบที่เราต้องเลือกสีตั้งแต่ตอนซื้อ ไม่สามารถเปลี่ยนกลางทางได้ มันเลยเป็นการบีบบังคับทางเลือกอ้อมๆ ว่าจะต้องเลือกซื้อสีสุภาพ (ตามมุมมองของคนไทย) นั่นคือ สีดำ ไม่ก็สีเทา ตรงกันข้าม Vivofit กลับพลิกจุดนี้ได้ เพราะมันเปลี่ยนสายได้ครับ

แม้ว่าดีฟอลต์ของ Vivofit จะเป็นสีเทา และดำ แต่เราสามารถซื้อสายแยกต่างหากได้ ซึ่งไอ้ที่ขายแยกนี้ ก็จะขายออกเป็น 3 สีเลย คือ สีม่วง สีเขียว และสีน้ำเงิน ในมูลค่า 700 บาท ตรงนี้ผมว่าราคาไม่ได้แรงมากนัก สามารถซื้อได้ หากต้องการเปลี่ยนไปใช้สีแปร๋นๆ ในวันหยุดส่วนตัวให้เข้ากับชุดแต่งกาย

จริงๆ ผมมีทริคที่ดีกว่านั้นครับ ชวนเพื่อนมาใช้ Vivofit ครับ แล้วแชร์กันใครอยากได้สีไหนก็เอาไป แบบนี้ง่ายกว่า

ทั้งหมดนี้ คือ 5 เหตุผลที่สอดรับกับความต้องการว่า เหตุอันใดผมถึงซื้อ Garmin Vivofit สำหรับค่าเสียหายของเจ้าชิ้นนี้อยู่ที่ 4,800 บาทครับ ในบทความหน้าผมจะเขียนถึงความสามารถในการใช้งานของ Vivofit นะครับ อย่าลืมติดตามกันนะครับ